1152 จำนวนผู้เข้าชม |
ความเป็นมือใหม่ในสายปิคอัพ อาจส่งผลให้การพัฒนา X-Class ซึ่งเป็นรถเซกเม็นต์ล่าสุดจาก Mercedes-Benz เกิดความล่าช้า รวมถึงอาจเจอปัญหาเชิงเทคนิคให้อีกมากมาย นั่นเพราะรถปิคอัพไม่ใช่ Core Business ของผู้ผลิตรถแนวหรูหราตลอดกาลอย่าง Mercedes-Benz เรื่องนี้ Daimler AG (บริษัทแม่) เข้าใจอย่างถ่องแท้ เลยแอบจับมือกับ Renault-Nissan Alliance ตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดย Know-how ที่รับมาจากพันธมิตร เป็นส่วนของงานโครงสร้างตัวถัง และเฟรมแบบ Ladder-type หรือ ‘แชสซีขั้นบันได’ ที่ใช้ในรถกระบะนั่นเอง ส่วนเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน รวมทั้งระบบความปลอดภัย และงานออกแบบห้องโดยสาร ทีมพัฒนาจาก Mercedes-Benz พร้อมจัดเต็มด้วยตัวเองทั้งหมด
ตัวถังยกสูงสไตล์เดียวกับรถ SUV ของ X-Class ถูกจัดให้อยู่ในเซกเม็นต์ ‘ปิคอัพขนาดกลาง’ ซึ่งบ้านเราเรียกว่า รถบรรทุกขนาด 1 ตัน ใช้รูปแบบ Double Cab หรือ 4 ประตู มีกระบะท้ายรองรับการขนสัมภาระ งานออกแบบ X-Class สื่อสารได้อย่างชัดเจน ถึงทิศทางการพัฒนารถปิคอัพจาก Mercedes-Benz ซึ่งเน้นความอเนกประสงค์ พร้อมคุณภาพที่อัดแน่นตามมาตรฐานรถยนต์เยอรมัน
X-Class เปิดตัวมาด้วยตัวถัง 3 สไตล์ นั่นคือ “X-Class PURE” เน้นความเรียบง่าย รองรับนักผจญภัยในรูปแบบ off-road, “X-Class PROGRESSIVE” มาพร้อมสโลแกน ‘Extra Styling and Comfort Function’ สำหรับสายลุย ที่ยังคงยึดติดกับความหรู รวมทั้งความสบายในการขับขี่ และ “X-Class POWER” เป็น High-end Line หรือเวอร์ชั่นหรู อุปกรณ์ไฮเทคจัดเต็มระดับเดียวกับรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่นอื่น ๆ ได้ทั้งสมรรถนะ และความสบายในการขับขี่ X-Class ทั้ง 3 สไตล์ พร้อมทำตลาดอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2017 โดยภูมิภาคเป้าหมายของปิคอัพไฮโซรุ่นนี้ ได้แก่ ยุโรป, อเมริกาใต้, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
งานตกแต่งห้องโดยสารเน้นความหรู ด้วยดีไซน์และการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mercedes-Benz เสริมความโดดเด่นในด้านคุณภาพวัสดุ ทั้งสัมผัสจากงานหนังในระดับไฮคลาส และความสปอร์ตจากอะลูมีเนียมปัดเงา สำหรับของเล่นไฮเทค มีทั้งอุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง, อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง, ระบบช่วยผู้ขับในการขับขี่ และระบบติดต่อสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งครบถ้วนตามมาตรฐาน Mercedes-Benz
เฟรม Ladder-type ของ X-Class รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ 1.1 ตัน และลากพ่วงได้หนัก 3.5 ตัน ระยะฐานล้อถูกขยายเพิ่มเติม รวมทั้งมุมล้อ และองศาตำแหน่งแขนยึดของช่วงล่างปรับปรุงใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ได้ความลงตัวทั้งสมรรถนะ ความสบาย และความปลอดภัย ช่วงล่างด้านหน้าใช้รูปแบบเดียวกับรถ SUV ในค่าย เป็นแบบอิสระ Double Wishbone ส่วนด้านหลังใช้ชื่อ Multi-link Solid Axle ยังไม่หนีจากรูปแบบ ‘คานแข็ง’ ทำงานร่วมกับคอยล์สปริง โดยทั้งสปริงและโช้คอัพ ถูกเซ็ทมาเพื่อให้ได้การขับขี่ที่นุ่มนวล
X-Class เปิดตัวมาก่อนด้วยรุ่นเครื่องยนต์ ‘X 220 d’ และ ‘X 250 d’ ทั้ง 2 รุ่น เป็นบล็อกดีเซล 4 สูบ แถวเรียง ขนาดความจุ 2.3 ลิตร ใช้ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง Common Rail เจเนอเรชั่นล่าสุด พร้อมหัวฉีด Piezo ที่ให้แรงดันในการฉีดสูงขึ้น ปลดปล่อยปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำ และฉับไว โดย ‘X 220 d’ ใช้เทอร์โบแปรผัน 1 ตัว ผลิตแรงม้าได้ 163 hp ขณะที่ ‘X 250 d’ ขยับไปเล่นกับเทอร์โบคู่ (bi-turbo) มีพละกำลัง 190 hp ทั้ง ‘X 220 d’ และ ‘X 250 d’ จะมีให้เลือกทั้งขับหลัง และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ขณะที่เกียร์ ก็มีให้เลือกทั้งแมนวล 6 สปีด และ อัตโนมัติ 7 สปีด
สำหรับ X-Class ตัวท็อปจะเป็นรุ่น ‘X 350 d’ พร้อมเปิดตัวในช่วงกลางปี 2018 ยกระดับไปใช้เครื่องยนต์ V6 ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร สร้างกำลังได้สูงถึง 258 hp และแรงบิดสูงสุดระดับ 550 Nm รุ่นท็อปจะมาพร้อมระบบเกียร์ 7G-TRONIC PLUS และระบบขับเคลื่อน 4MATIC เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับ 4MATIC เป็นระบบขับเคลื่อน AWD สุดไฮเทคของ Mercedes-Benz ระบบจะควบคุมระดับการจัดสรรกำลัง ระหว่างล้อหน้าและล้อหลังด้วยอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฟืองท้ายของ X-Class สายลุย จะติดตั้งชุด Differential มาช่วยให้การลุยแบบโหด ๆ เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นด้วย
ภาพและภาพยนตร์ : Daimler AG
เรียบเรียง : Pitak Boon