มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ได้รับ 4 ดาว จากการประเมินความปลอดภัยโดย อาเซียน เอ็นแคป
727 จำนวนผู้เข้าชม |
มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ได้รับการรับรองมาตรฐานการทดสอบการชนระดับ 4 ดาว ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยของรถยนต์รุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เอ็นแคป (ASEAN NCAP)
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ได้เริ่มจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 นับเป็น รถอเนกประสงค์รุ่นแรกของมิตซูบิชิที่ได้รับการทดสอบอาเซียนเอ็นแคป และได้รับคะแนนโดยรวมถึง 71.66
สำหรับระดับการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ได้รับ 39.08 คะแนน และ 18.69 คะแนน สำหรับเด็ก อีกทั้งยังได้รับ 13.89 คะแนนจากการระบบเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่าง ๆ โดยรถยนต์ 7 ที่นั่งนี้มีถุงลมนิรภัยคู่หน้าและระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
จากความมุ่งมั่นในการยกระดับด้านความปลอดภัยในการขับขี่และโดยสาร มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ยังติดตั้งระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS (Emergency Stop Signal) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานหรือออปชั่นเสริมในบางประเทศ และยังมีจุดยึดเบาะที่นั่งเด็ก (ISOFIX) พร้อมกับตัวยึดรั้งตำแหน่งด้านบนของเบาะที่นั่งเด็ก (Top Tether)
ดร. คัยริล อันวาร์ อาบู คาสสิม เลขาธิการอาเซียน เอ็นแคป กล่าวว่า “มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ นับเป็นรถอเนกประสงค์คันแรกที่ได้รับการประเมินตามมาตรฐานใหม่ซึ่งใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2560 – 2563 และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ได้พิสูจน์แล้วถึงสมรรถนะด้านการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารภายใต้การประเมินใหม่ที่เข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในการผลิตรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นสำหรับตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้กฎมาตรฐานใหม่นี้”
โดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีและแนบแน่นกับพันธมิตรทั่วประเทศ
มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ผลิตขึ้นที่โรงงานแห่งใหม่ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ในเมืองเบกาซี จังหวัดชวาตะวันตก โดยได้รับยอดสั่งจองมากกว่า 50,000 คัน ในช่วงสามเดือนแรกของการจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซีย สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 3,000 – 4,000 คันต่อเดือน
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ จะเริ่มจัดส่งไปยังประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 และไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี พ.ศ. 2561 นี้
