6794 จำนวนผู้เข้าชม |
ข้อมูล : Ferrari S.p.A.
เรียบเรียง : Pitak Boon
296 GTB (Grand Turismo Berlinetta) เป็นรถไฟฟ้าในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด หรือ ‘PHEV’ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) ลำดับที่ 2 ของค่ายม้าลำพอง ต่อจาก SF90 Stradale ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับวาระครบรอบ 90 ปี ของทีมแข่ง Scuderia Ferrari อันหมายถึง การถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากรถ F1 มาสู่รถถนนด้วย know-how ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วอย่างเข้มข้นในสนามแข่ง กับ 296 GTB มีดีกรีความใกล้ชิดกับ F1 เพิ่มขึ้น ด้วยเครื่องยนต์บล็อกใหม่ V6 biturbo ซึ่ง Ferrari นำมาจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ลงตัว
ในส่วนของเครื่องยนต์ ผู้ผลิตสายบ้าพลังอย่าง Ferrari กวาดมาแล้วทุกรางวัล กับเครื่องยนต์ V8 และ V12 แต่กับเครื่องยนต์ V6 ห่างเหินกันมานาน โดย Ferrari นำบล็อก V6 มาใช้ครั้งแรกราวปี 1957 ในรถแข่ง Dino 156 F2 ขนาดความจุ 1,500 ซีซี ซึ่งวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้า จากนั้นจึงส่งต่อมายังรถสปอร์ต 196 S และ 296 S ถัดมาช่วงปี 1961 นับเป็นครั้งแรกที่ Ferrari วางเครื่องยนต์ V6 ในตำแหน่งกลางลำ ในรถ 246 SP ก่อนที่เครื่อง V6 จะมาอยู่ในรถแข่ง 156 F1 และได้แชมป์ประเภททีมผู้ผลิตเป็นปีแรกของ Ferrari
สำหรับเครื่องยนต์ V6 พ่วงเทอร์โบจากค่ายนี้ ถูกพัฒนาออกมาในปี 1981 โดยเทอร์โบถูกวางไว้ตรงกลางระหว่างบล็อกตัววี (เช่นเดียวกับเครื่องยนต์สูบวี เทอร์โบ สมัยใหม่) ที่วางทำมุม 120 องศา จากนั้นเครื่องยนต์เทอร์โบก็เริ่มเก็บแชมป์ F1 ให้ Ferrari ในปี 1982 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 1983 แล้วจึงห่างหายไป เพราะขุมพลัง F1 ถูกแทนที่ด้วยเครื่อง V8 ก่อนที่เครื่องบล็อก V6 turbo hybrid จะถูกนำมาใช้ใน F1 อีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2014
กับรถโมเดลล่าสุดอย่าง 296 GTB นอกจากจะเป็นการนำเครื่องยนต์ V6 หวนคืนวงการรถถนนของ Ferrari ยังเป็นการใช้ know-how จากขุมพลัง V6 turbo hybrid ใน F1 แบบเต็ม ๆ เสื้อสูบวางทำมุม 120 องศา ตามสูตรดั่งเดิม เพื่อลดจุดศูนย์ถ่วง และวางเทอร์โบคู่ไว้ตรงกลางระหว่างเสื้อสูบทั้ง 2 ฝั่ง ภาพรวมคือ บล็อกเครื่องยนต์ที่กะทัดรัด และน้ำหนักลดลง เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ V8 biturbo hybrid ใน SF90 Stradale
เทอร์โบคู่ใน 296 GTB เป็นผลงานจากมือหนึ่งของวงการอย่าง IHI ตัวโข่งฝั่งเทอร์ไบน์เป็นแบบ mono-scroll type รอบการทำงานสูงสุดอยู่ที่ 180,000 รอบ/นาที ประสิทธิภาพในการอัดอากาศเข้าห้องเผาไหม้เพิ่มขึ้นถึง 24% ทั้ง ๆ ที่มีขนาดเล็กลง เมื่อเทียบกับเทอร์โบที่ใช้งานอยู่ในเครื่องยนต์ V8 โดยเครื่องยนต์ V6 biturbo ที่เสื้อสูบวางทำมุม 120 องศา จะมาพร้อม 2 บุคลิก นั่นคือให้การเพิ่มรอบที่รวดเร็วคล้ายเครื่องสูบนอน และบูทหนัก ๆ จาก biturbo จะดึง...ระดับน้อง ๆ เครื่อง V12 NA ของ Ferrari เลยทีเดียว
เครื่องยนต์ V6 ใช้รหัส F163 ความจุ 2,992 ซีซี มาจากระยะ Bore และ Stroke ที่ 88 และ 82 มิลลิเมตร ตามลำดับ ท่อทางเดินของไอดีและไอเสีย ลดแรงเสียดทานเพิ่มความลื่นขณะอากาศไหลเข้าห้องเผาไหม้ และระบายไอเสียหลังการสันดาป ใช้แรงดันจากระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบแปรผันได้สูงสุดถึง 350 บาร์ เบ็ดเสร็จเฉพาะในส่วนของเครื่องยนต์ เรียกกำลังมาใช้งานได้ 663 PS หรือคิดเป็นอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร ได้ในระดับ 221 PS/Litre เลยทีเดียว
เครื่องยนต์ของ 296 GTB ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบ MGU-K (Motor Generator Unit- Kinetic) ในการขับเคลื่อนรถ มอเตอร์ถูกวางขั้นกลางระหว่างเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีด (DCT) ก่อนที่จะส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ในส่วนของมอเตอร์ทั้งชุดมีกำลังรวม 167 PS (122 kW) กำลังจากระบบขับเคลื่อนทั้งระบบของ 296 GTB จึงมหาศาลถึง 830 PS (610 kW) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 740 Nm ที่ 6,250 รอบ/นาที
ระบบ PHEV ของ 296 GTB ใช้แบตเตอรี่ลีเทียมไอออนขนาด 7.45 kWh ในการป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์จากระบบ MGU-K ขณะเดียวกันก็รับพลังงานไฟฟ้ามาเก็บขณะรถชะลอความเร็ว หรือเบรก ตามรูปแบบของรถ PHEV ทั่วไป โดย 296 GTB สามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์เพียงอย่างเดียว (โหมด eDrive) ได้ไกล 25 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 135 กม./ชม. และเมื่อใช้โหมด Quality ซึ่งทั้งเครื่องยนต์ และ MGU-K จะผสานการทำงานอย่างเต็มกำลัง จะทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เร็วสุด ๆ เพียง 2.9 วินาที ผ่านหลัก 200 กม./ชม. ด้วยเวลา 7.3 วินาที และความเร็วสูงสุดกว่า 330 กม./ชม.