88047 จำนวนผู้เข้าชม |
เรื่องโดย : RetroSky
ชีวิตนักซิ่ง ย่อมผ่านช่วงกาลเวลาที่สุดมันส์ตามยุคที่ตัวเองเกิด เคยได้ยินกันไหม ยุคโรงแรมชวลิต ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการซิ่งบนท้องถนน มาดังสุด ๆ คือ ยุค “พาเลซ” ที่เรียกว่าเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สุดกับการแข่งแบบ Mid Night และชีวิตของนักซิ่งที่นิยมเริงราตรี จนมาถึงในยุคปลายของการแข่งบนถนนวิภาวดีคือ “ยุค 90” ที่เป็นยุคพาเลซตอนปลาย เนื่องจากตอนนั้น The Palace Discotheque (ดิสโกเธค) กำลังจะปิดตัวลง แต่ยังใช้เส้นทางวิภาวดีในการซิ่งเหมือนเดิม ไอ้เรื่องซิ่งตามยุคนี่ผมจะเล่าให้ฟังเป็นตอน ๆ ไป นะครับ เพราะส่วนตัวผมเองก็เกิดไม่ทัน แต่อาศัยเจอตัวจริงเลยมีข้อมูลนำมาเล่าให้ฟังกัน...
สไตล์การแต่งยุค 90 อันนี้เป็นหนึ่งใน Idol ยุคนั้น SUPRA VEILSIDE COMBAT
ตอนนั้น เล็ก PROJECT M สั่งรุ่นนี้เข้ามา สนนราคาประมาณ 7 ล้าน !!! ยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก
อวสานนักซิ่งและกำเนิดการเล่นย้อนยุค
แน่นอนว่า มันไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก ที่จะไปแข่งรถบนท้องถนน ตัวผมเองไม่สนับสนุนการแข่ง แต่จะเล่าให้รู้เกี่ยวกับ “ตัวรถ” ก็พอ ทุกอย่างเมื่อมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว นักซิ่งในยุคก่อนทุกคน พอมาถึงจุดหนึ่งที่เลยวัยซิ่งแล้วก็ต้องหยุด รถซิ่งคู่ใจที่มีก็ต้องขายไป เพราะขับใช้งานลำบาก พังบ่อย มัวแต่จะมาเสียเงินเสียเวลาแต่งรถอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ประเภท “สามวันดี สี่วันพัง” หรือไม่ก็ “เสร็จเย็น ดึกพัง” ไม่รู้กี่รอบมันก็เรื่องปกติของสายซิ่ง หรือไม่ก็ต้องเอาเงินมาเก็บไว้เพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ มีน้อยคนที่จะเก็บรถเอาไว้ แต่ก็ต้องทำกลับเป็นสภาพที่สามารถขับใช้งานได้ ไม่ได้แรงบ้าบออย่างเดียวเหมือนตอนห้าว ๆ นั่นคือถึงวัยที่จะต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานและครอบครัวเต็มระบบ ไม่มีเวลาและสถานะจะมาเล่นกันแบบตอนเป็นเด็กอีกแล้ว เป็นสัจธรรมที่จะต้องหยุดชีวิตวัยซิ่งไว้จุดนั้น...
แต่ในห้วงความทรงจำ คนเหล่านี้ก็ยังอยากจะกลับไปเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง วันเวลาแห่งอดีตที่มีความสุข หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัว เริ่มมีเงิน แต่ละคนจึงอยากจะกลับไปหาตัวซิ่งที่ตัวเองเคยออกลีลาอาละวาดกลับมาอีกครั้ง เพื่อรำลึกถึงความหลัง นั่งคุยกับสหายซิ่งตรงยุคที่เคยเสี่ยงตายกันมา แต่สิ่งที่ต้องมีคือ “รถตรงยุค” ในสมัยที่ตัวเองเคยซิ่ง ทุกคนก็พยายามจะหามาครอบครอง และ “แต่งกลับให้ดูตรงยุครถที่สุด” เลยเป็นกระแสหวนอดีตที่เราจะหยิบยกมาพูดกัน ณ ตอนนี้...
SKYLINE R32 GT-R ที่เข้าขั้นเป็นรถสปอร์ตทรงคุณค่าไปแล้ว สภาพเดิม ๆ หาได้ยากและแพงยิ่งนัก
ยุคนั้นคนที่สร้างชื่อเสียงกับรุ่นนี้ แน่นอนครับ “ป๊อปปิ JUN THAILAND” กับ ก๊อตซิลล่าพันม้า คันแรกในเมืองไทย กับตำนานควอเตอร์ไมล์ 9 วินาที ส่วนสายเซอร์กิต ก็ต้องเป็น AIM MOTORSPORT ที่นำเข้าตัวแข่งรุ่นนี้มาถึง 2 คัน และของทีมสิงห์ พานาโซนิค อีก 1 คัน
ทำไมต้องยุค 90
จริง ๆ แล้วยุคซิ่งในตำนานก็จะมีหลายยุค ตามวัยของแต่ละคน แต่ในยุค 90 นี้ กระแสมาแรงเพราะคนในช่วงนั้นจะเป็นวัยที่ยังมีไฟอยู่ พูดง่าย ๆ ยังเป็นคน “ร่วมสมัย” ยุคเก่าก็ดี ยุคใหม่ก็ได้ อายุของนักซิ่งกลุ่มนี้ก็จะเฉลี่ย ๆ แถว ๆ 43-48 ปี ไม่เกิน 50 ปี ซึ่งยังคงมีไฟอยู่ในตัว และอยู่ในช่วงกำลัง “ตั๋ง ๆ” มีตังค์ มีสังคม มีความรู้เดิมเป็นทุน ก็สามารถซื้อรถมาแต่งย้อนยุคได้ พูดถึงตัวรถที่ออกมาในยุค 90 ก็ถือว่าหาไม่ยากนัก ปัจจุบันก็ยังมีใช้กันอยู่เยอะ เว้นแต่พวกรถสปอร์ตแพง ๆ ก็ต้องลงทุนและลงแรงตามหากันเยอะหน่อย แต่ถ้าสายรถบ้านแต่งซิ่งล่ะมีเพียบ เดี๋ยวค่อยมาดูกันว่ามีรุ่นอะไรบ้าง อีกอย่าง รถยุค 90 ถือว่าเป็น “ยุคเริ่มพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ” จากรถยุค 80 หรือเก่ากว่า พวกนั้นเทคโนโลยียังไม่มีอะไรมาก ยังเป็นแบบพื้น ๆ ทั่วไป แต่ถ้า 90 ก็จะเริ่มทันสมัย เช่น เครื่องหัวฉีด เทอร์โบ ระบบช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นมาร่วมสมัยกับปัจจุบัน ของแต่ง ของเทียบต่าง ๆ มีมาก ก็เลยทำให้รถยุค 90 นี้ได้เปรียบในการแต่งย้อนยุค ซึ่งถ้าใหม่กว่านี้ตั้งแต่ปี 2000 ยุค “มิลเลนเนียม” ก็ถือว่าใหม่เกินไปไม่ค่อยจะมีตำนานแล้ว...
คงไม่ต้องพูดถึง 200 SX นะ ว่าฮอตฮิตขนาดไหน ส่วนใหญ่หารถเดิม ๆ ยาก กระแส 90 จะต้องเน้นรถเดิมสวย
สไตล์การแต่งยุค 90 ของแท้เป็นอย่างไร??
จริง ๆ แล้ว ตัวรถยุค 90 ตอนนี้ก็ยังหาซื้อเล่นกันได้เยอะอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่จะบ่งบอกว่าเป็นสไตล์ 90 คือ “สไตล์การแต่ง” รวมถึงการใช้ของแต่งตรงยุค ซึ่งตอนนี้บางอย่างอาจจะหายาก และราคาแพง มันเป็นธรรมดาที่จะมีการสะสม ของไม่มีผลิตแล้ว แต่คนยังต้องการมากย่อมเป็น Rare Item ซึ่งถ้าเป็นสายตรงยุคจริงๆ ส่วนมากก็จะมีสะสมไว้เองตั้งแต่สมัยนั้นบ้าง หรือหาซื้อจากคนที่สะสมไว้มาแบ่งๆ กันบ้างก็แล้วแต่ ซึ่งถ้าเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่ชอบในการแต่งยุค 90 อาจจะทำตามแบบเป๊ะ ๆ ได้ยาก เพราะ “ของมันหายาก” แต่บางอย่างก็พอจะ “กล้อมแกล้ม” ไปได้ เพราะมันยังเป็นของที่ร่วมสมัยอยู่ ลองดูกันว่าจะแต่งแบบไหนและด้วยของอะไรกันดี...
อีกคันที่อยู่ในยุคนั้น คือ MITSUBISHI 3000 GTO ในภาพจะเป็น DODGE STEALTH เป็นตัวเดียวกัน เครื่อง V6 3,000 ซีซี. วางหน้า ขับสี่ แต่เสียดายขับไม่สนุกเพราะรถใหญ่เกินไป เลยไม่ได้รับความนิยม
SUPRA JZA80 นี่ก็ยิ่งเดิมยิ่งแพงสำหรับคนเล่นรถ 90
ล้อ !!! ประการด่านแรกที่จะบ่งบอกยุคสมัย
การแต่งรถ ด่านแรกที่จะเปลี่ยนก่อนเลยก็คือ “ล้อ” เพราะฉะนั้น ลายและลักษณะของล้อ จะมีผลมากในการกำหนดสไตล์การแต่งรถในขั้นตอนแรก เรียกว่าคันไหนล้อสวย ใส่แล้วพอดี เต็มซุ้ม ไม่หุบไม่ล้น ขนาดล้อกับยางเหมาะสมกันกับตัวรถ เปลี่ยนโช้คอัพและสปริงโหลดลงมาพอดี คันนั้นก็จะเป็นรถที่ “เกิด” สำหรับล้อยุค 90 ในสมัยนั้นยอดฮิตก็มีมาก ๆ ขอแบ่งเป็นสองสายนะครับ...
SILVIA S13 ที่ไม่เคยตกกระแส คันนี้ล้อ EQUIP ตรงยุค
RX-7 คันนี้ เป็นรถในไทย กับล้อ ENKEI RP-01 หรือคนไทยชอบเรียก PRO ONE ลายอมตะ ยิ่งขอบใหญ่ยิ่งสวยเพราะก้านจะเรียวยาวมากๆ
สายฝรั่ง
สุด ๆ ก็ต้อง “BBS ลาย RS รังผึ้ง” บางคนก็เรียก “ลายอมตะ” บางคนก็เรียก “ลายสิ้นคิด” ก็อำกันไปอย่าโกรธกัน ลายนี้ยอดฮิตกันหมด จะยุโรป ญี่ปุ่น กระบะ ฯลฯ ใส่หมดไม่มีละเว้น ถ้าอยู่ในพวก BMW E30 จะเข้ากันที่สุด หรือไม่ก็รถญี่ปุ่นทั่วไป ถ้าเป็นรถขนาดเล็ก อย่าง COROLLA AE ต่างๆ ขอบ 15 นิ้ว ก็สวย ได้รถดูเตี้ย ๆ แต่ถ้าจะเหนือกว่า ก็ต้องล้อขอบ 16 นิ้ว ยาง 205/45R16 นี่แหละ “บางดีนัก” ขับจะกระด้าง ๆ หน่อย ใครขับไม่ดูตาม้าตาเรือตกหลุมทีมีสะท้านทรวง ตอนนี้ล้อ BBS ที่มีก็ “งานเหมือน” ล้อแท้ราคาโดดมาก ใส่ได้ครับแต่ขับระวัง ๆ หน่อยแล้วกัน...
ต่อมาที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง หนักกว่า BBS อีก ก็คือ RIAL หรือ “เรียล” ลาย Mesh ถามว่าทำไมถึงฮิต เพราะเป็นล้อที่มี “ออฟเซ็ตเป็นบวกน้อย” หรือ “ออฟลึก” ตามประสาสายซิ่งยุคนั้นเขาเรียกกัน ขอบมันจะลึก ๆ เงา ๆ สวยครับ บางคนก็เรียกว่า “ออฟเซ็ตแมวนอน” หรือ “ออฟเซ็ตกระป๋องโค้ก” วางได้ เรียกว่าโดนใจวัยรุ่นตอนนั้นจริง ๆ “ของมันต้องมี” ถ้าจะให้สุด ก็ต้องขนาด 8.5 x 17 นิ้ว จริง ๆ แล้วผลิตมาสำหรับรถขนาดกลางอย่าง BMW E34 หรือ BENZ E-CLASS จะใส่ได้พอดี แต่รถขนาดเล็กก็เอากะเขามั่ง จะใส่ก็ต้อง “ข่มขืน” กันชุดใหญ่ เพราะไหน ๆ จะใส่แล้วก็ต้อง “กดเตี้ย” ให้ “ซุก” อมขอบแม็กกันไปเลย อย่าง CIVIC EG เอามาใส่ก็ต้องตัดปีกนก ตัดซุ้ม ทำล้อแบะ ยังไงก็ได้ อะไรไม่ว่า ตรงไหนติดก็ตัดแม่มมเลยยยย !!! ต้อง “ซุก” ให้ได้ ไอ้ที่ฮากว่านั้น คือ SOLUNA AL50 คันติ๊ดเดียวก็ยังจะพยายามซุกกะเค้าบ้าง แต่ปัญหาคือ ช่วงล่างด้านหลังเป็นระบบ “คาน” มันไม่สามารถทำให้แคมเบอร์ลบเหมือนระบบอิสระที่มีปีกนกได้ แต่ !!! จะทำแล้วบ่ยั่น “ตัดเชื่อมคอม้าหลังสิครับบบบบบบบ” เบนให้มันเป็นแคมเบอร์ลบเยอะ ๆ แค่นี้ก็เท่ได้ละ เอากะเขาสิเพื่อน !!! แต่ขับใช้งานจริงก็คนละเรื่องกันนะ ขอ “สายโชว์” ไว้ก่อนกันเพื่อนล้อ ส่วน “กระบะซิ่ง” ทำแบะล้อหลังไม่ได้ ก็อาศัยกดจมแบบ Slam ล้อตั้งตรงท่านั้นเลย...
ถ้าเป็นอื่น ๆ ก็มี เช่น BRABUS MONOBLOCK 2 ลาย “สามแฉก” เหมือนกับโลโก้ BENZ นั่นเอง อันนี้ก็ฮิตโคตร ๆ สาย BENZ นี่ต้องมีเลย แล้วก็จะมีเอามาใส่รถญี่ปุ่นอย่าง CEFIRO A31 กันด้วยนะ ก็แปลกดีไปอีกแบบ แต่ถ้าเป็น “ของเหมือน” พวก BRABOS หรือ BARBUS ก็มีเพียบ ใส่กันเกลื่อน สาย BMW ยอดฮิตก็ต้อง AC SCHNITZER ลายห้าก้านมีนูนตรงกลาง ขอบ 16 นิ้ว นิยมใส่ E30 ดูสวยดีเพราะก้านยาว เนื่องจากรูนอตมันเป็น 4 รู 100 มม. พอดุมเล็กก้านมันก็ยาว ถ้าเป็น E30 ไฟสามชั้นรุ่นหลัง กับพาร์ท M-TECHNICS 2 ครบๆ และยิ่งเป็นสี “เลือดหมู” จะดูเด่นมาก ๆ ล้อรุ่นนี้พวก CIVIC EF จะชอบเอาไปใส่เพราะรูมันเท่ากัน ใส่แล้วก็สวยไปอีกแบบ หรือไม่ก็เอาไปใส่ “LANCER กล่องไม้ขีด” กัน อีกอันก็ RACING DYNAMIC 5 ก้าน ใส่ E30 ไปยัน E36 ก็สวย ก็น่าแปลกอยู่อย่าง ล้อรุ่นนี้พอไปใส่ CIVIC EF หรือ EG ก็ดูเด่นไปอีกแบบ โดยเฉพาะ EF จะเข้ามาก ถ้าสายประหลาดๆ ก็ต้อง KELLENER ลายรูปตัว K ที่ตอนนั้นนึกไม่ถึงว่าออกแบบมาได้ยังไง ใส่กับ E36 Coupe อีกแบรนด์ที่ประหลาด ๆ ก็คือ ANTERA เป็นล้อแบบโค้งสนิทไร้สัน ใส่หมดทั้งยุโรปและญี่ปุ่น ของเหมือนจริงก็มีเยอะ แต่คุณภาพก็อีกเรื่องนะ จบกันด้วย OZ DTM ลายมันทื่อ ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่พอใส่แล้วล้ำ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก ยุคนั้นก็ต้อง BENZ C-Class กดเตี้ย ๆ ล้อแบะ ๆ ซุก ๆ หรือที่สวยเด่นก็จะเป็น CIVIC EG 3 Doors ของ “นิค” สีขาว ล้อขาว เครื่อง D15B เดิมๆ เซ็ตเทอร์โบ จาก NOI ELEVEN คันนี้สวยและแรง จริง ๆ ยังมีอีกเยอะ ขอแค่นี้ก่อนแล้วกันสำหรับล้อตระกูลฝรั่ง...
COROLLA AE100-101 ยอดนิยมในยุคนั้นจริง ๆ เพราะของแต่งมีเยอะ รถก็ตลาด ๆ คนจับต้องได้ ปัจจุบันก็ยังนิยมแต่งกันอยู่ อะไหล่และของแต่งยังมีเยอะ ตัวนอกจะมีหลายรุ่นหลายแบบมาก แต่งได้หลากหลาย เหมาะสำหรับคนที่มีรถเพียงคันเดียวแบบแต่งด้วยใช้ด้วย
COROLLA AE92 ก็ยังนิยมได้ตรงยุค แต่ด้วยปีมันเริ่มเยอะก็ต้องรอสภาพสวย ๆ เดิม ๆ หน่อย
BMW E36 ตรงยุค 90 ล้อ RIAL MESH กดเตี้ยล้อซุก มันต้องยังงี้ครับ แต่ขับแล้วระวังเป็นโรคท้องลาย
BMW E30 ขุนแผนสุดหล่อ ล้อ AC SCHNITZER ขอบ 16 ที่ดูเข้ากันมาก ๆ
นี่เลย BENZ 190 E กับล้อ OZ DTM ตามกระแสที่ตอนนั้นการแข่ง DTM กำลังดัง
BMW E34 กับล้อและชุดแต่ง RACING DYNAMICS
ล้อ BBS RS ลายอมตะของจริง
หล่อ ๆ หน่อยก็ต้องล้อ BRABUS MONOBLOCK 2 ที่มีล้อก๊อปกันเกลื่อนเมือง
สายญี่ปุ่น
เพียบเลย ยุคนั้นล้อที่เป็นแนว “ขอบเงา” มาแรง เพราะจะดูเด่นตัดกับตัวรถ พวกล้อสีทึม ๆ อย่าง Gun Metallic ก็จะฮิตแค่กลุ่มหนึ่ง เพราะมันไม่เด่น แต่จะดูขรึม ๆ ได้รับอิทธิพลมาจากล้อ WATANABE ลายกล้วยนั่นเอง แล้วก็มาฮิต “สีอโนไดซ์” ที่ถือว่าเป็นของแปลกใหม่ในยุคนั้น ผู้นำแฟชั่น ก็คือ ล้อ SPARCO NS-II VIPER ลาย 8 ก้าน ที่มีสีอโนไดซ์ “แดงดำ” กับ “แดงน้ำเงิน” สวยจริง ๆ ครับ ส่วนใหญ่แล้วจะฮิตแดงดำกัน ตอนนั้น SILVIA S14 สีแดงของ “อู๊ด AFTER SHOCK” ใส่อยู่ “สวยโคตร ๆ” อีกอันก็ ADVAN SA3R หรือ “ลายกางเกงใน” (เรียกซะเสียเลย) แล้วก็ VEILSIDE ANDREW ลาย 5 ก้าน คนปลุกกระแส คือ “เล็ก โปรเจ็คท์เอ็ม” กับ SUPRA COMBAT 700 ม้า รถเทพในเมืองไทย แต่จริง ๆ แล้วเฮียแกเปลี่ยนล้อเป็น OZ FUTURA แล้วล้อ VEILSIDE ที่มากับรถ ได้ข่าวว่าขายให้กับ SUPRA สีดำ ลูกค้าร้าน Ray Sport ไป อันนี้ใส่กันเพียบ ของเหมือนก็คือ WHEELSITE นั่นแหละ คงจำกันได้ดี อื่น ๆ ก็มีบ้าง ล้อญี่ปุ่นเซียงกงก็แล้วแต่จะเจอ อย่าง RACING BEAT จาก RX-7 ก็เอามาใส่กับ ACCORD ตาเพชรสวย ๆ เลย ไม่ตรงยี่ห้อได้สวยก็เอาวะ แต่ถ้ายอดฮิตอมตะถึงบัดนี้ ก็อย่าลืม ENKEI RP-01 ห้าก้านเรียว ๆ โชว์เบรก เป็นล้อที่สวยร่วมสมัยจริง ๆ ตอนนี้ก็ยังไม่เชย ใส่รถอะไรก็สวย...
RX-7 แต่งตรงยุค ด้วยชุด RE AMEMIYA กับล้อเทพ RE AW-7 ที่มันต้องลงตัวด้วยกัน
MR-2 สายแรง 4 สูบ เครื่องวางหลัง แต่ “ขับยาก” เพราะหน้ามันจะลอยอยู่เวลาไปเร็ว ๆ ใส่ล้อ SUPER ADVAN SA3R กางเกงในในตำนาน
SILVIA S14 ตอนนั้น สยามกลการ นำเข้ามาจำหน่าย
ACCORD ตาเพชร หนึ่งในรถนิยมยุคนั้น จับมาวาง H22A ก็แรงแบบตรงรุ่น ถ้าไม่พอใจ ก็จับโมดิฟาย เซ็ตเทอร์โบใหม่ สมัยนั้นคันที่ดัง ๆ ก็จากร้าน EMOTION-R นั่นเอง
สุดฮิตสายญี่ปุ่น RACING SPARCO NS-II Viper อโนไดซ์สีอย่างสวย แดง-ดำ ที่นิยมกันมาก
สายไทย ??? โหลดล้อกระทะ !!!
ตอนนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยอีกแบบ คือ “โหลดล้อกระทะ” หรือ “โหลดล้อเดิม” งงเหมือนกันว่าแนวไหน ส่วนมากจะเอาล้อกระทะของ BENZ ขอบ 15 นิ้ว มาใส่ พร้อมกับฝาครอบของ 190 E เอาตรา BENZ ออก ก็จะดูเหมือนกับ DTM แล้วสำหรับคนงบน้อย...
สไตล์การแต่งไทยแลนด์ Only ตอนนั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองของร้านไฟเบอร์ในเมืองไทย
แบบนี้ก็มีแบบไทยๆ โหลดล้อเดิม ล้อกระทะ BENZ 190 E พร้อมฝาตบ เล่นกันยังงี้เลย
ภายนอก ชุดแต่งงานไฟเบอร์กำเนิด
จริง ๆ ยุค 90 เดิมทีก็จะเน้น “ทำสีตัวรถ” เป็นพวกสีสด ๆ เช่น สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน ส่วนสายหวานแหววก็ต้อง สีครีม สีโอลด์โรส (คนไทยเรียก “สีโอรส”) สีชมพู สีเขียวมินท์ ฯลฯ เรียกว่าทำไงก็ได้ขอให้เด่นเตะตาสาวกรี๊ดไว้ก่อน หลังจากนั้นกระแส “ร้านไฟเบอร์” เริ่มฮิต เจ้าดั้งเดิมก็คือ UDS ของ “เฮียปอ” นั่นเอง ตอนนั้นจะนิยมทำพาร์ทตามแบบของนอก มีอยู่ช่วงหนึ่ง จะบ้าตามแบบของ VEILSIDE COMBAT จาก เล็ก โปรเจ็คท์เอ็ม นั่นแหละ เอามาใส่กันเกลื่อน บางคันปั้นซะอวกาศไปไหน สำหรับสไตล์อื่น ๆ ก็จะเป็น “ไฟท้ายดำ” บางคนก็เอาตาข่ายดำมาหุ้ม บางคนเล่นดิบ ๆ ก็เอาสีดำมาพ่นโรย ๆ ไว้ ไฟเบรกมองก็ไม่ค่อยจะเห็น โดนพวกซัดดากไปก็เยอะ จริง ๆ มันมีสเปรย์พ่นของนอกที่พ่นแล้วจะเป็น Clear Black ยังเห็นไฟอยู่ แต่มันแพงก็เลยล่อกันดิบ ๆ บ้าน ๆ นี่แหละ ไม่แนะนำเพราะอันตรายกับตูดรถตัวเองอย่างมาก...
ของต้องมี พวงมาลัย BENETTON เบาะหนังครีม เกจ์ AUTO METER เครื่องเสียงตึม
สำหรับภายใน ยุคนั้นก็อย่างที่บอกเลยครับ ยอดฮิตก็ต้องทำสี หุ้มเบาะ ภายใน แผงข้าง หน้าปัด จัดเป็น “สีครีม” ใหม่ ๆ ก็ดี พอเริ่มเก่าไม่รักษาก็ “เน่า” สุดประตู พวงมาลัยต้อง BENETTON สีสันหลากหลาย ของแท้ราคาโหด ของเหมือนแถว ๆ คลองถมก็มีวะ เบาะก็แล้วแต่ ถ้างบน้อยก็ไปหาเบาะเดิมของรถสปอร์ตตามเซียงกง หรือไม่ก็พวกเก๋งตัวนอกที่ทรงสปอร์ต ๆ หน่อยมาใส่ พวกเบาะ CR-X หรือ PRELUDE จะนิยมมากเพราะไม่แพงและหาง่าย เกจ์วัดก็ต้องมี “วัดรอบ AUTO METER” ตัวยักษ์ขนาด 5 นิ้ว !!! ไว้ประดับคอนโซล จะให้ดีก็ต้องมี “วัดบูสต์” อีก บางคันไม่มีเทอร์โบก็ใส่ขู่ไว้งั้น แต่ต้องระวังเพราะถ้าจอดซี้ซั้ว กลับมากระจกท่านอาจจะแตก เกจ์วัดจะ “วาร์ป” หายไปได้โดยง่าย โดยเฉพาะที่จอดตามแหล่งบันเทิงราตรี เช่น RCA รถซิ่งไปจอดเยอะ ก็เพลินโจรกันไป สำหรับเกจ์สายญี่ปุ่นแท้ ๆ เช่น GReddy, OMORI, BLITZ ก็จะนิยมในคนชอบแบบ “ตรงเชื้อชาติ” ไฮโซสุด ๆ ก็ต้องเกจ์ HKS แบบจอดำ ตัวเลขสีส้ม อันนี้สวยจริง ๆ ยิ่งตัวที่มี “ไฟเตือน” จะยิ่งโคตรแพง ถ้าเบิกใหม่ Ray Sport ครบชุดเฉพาะเกจ์ยอย่างเดียวต้องมี “เป็นแสน” แน่ ๆ และต้องเป็นชุดติดตั้งในเก๊ะหน้า ไม่นิยมวางโชว์นอกจากวัดรอบกับวัดบูสต์ ราคานี้ยังไม่รวมพวก “สารพัดปรับจูน” ทั้งหลายอีกนะ...
ส่วนเครื่องเสียง ต้องมี “ตึ้ม” กันหน่อย ถ้าตังค์เยอะก็จัดของนอกเต็มลำ งบน้อยอาจจะแนว ๆ ของไต้หวัน หรือของไทยบ้านหม้อก็ได้ เน้นเบสกระแทกขี้หูไว้ก่อน ต้องมีตัว Pre-Amp ปุ่มเยอะ ๆ ไว้ปรับเสียงถึงจะเท่...
ตัวแรงจาก HKS ที่ผลิตเป็น Complete Car คือ HKS ZERO-R ที่ราคาแพงเลยขายได้น้อย คาดว่าผลิตมาเพื่อเป็นรถสะสมมากกว่า
รถซิ่งต้องมีเหมือนกับ Defi สมัยนี้ กับวัดรอบตัวยักษ์ AUTO METER ติดไว้บนคอนโซล แรงไม่แรงขอให้มี ตั้ง Shift-Lite ให้ไฟส่องหน้าเล่น แต่จอดดี ๆ ละกันมีสิทธิกระจกแตกวัดรอบหายได้ในบัดดล
ถ้าวัดบูสต์ก็ต้อง AUTO METER หน้าน้ำมัน ต้องมีคู่กันกับวัดรอบ
เครื่องเซียงกง หัวฉีด เทอร์โบ แค่นี้ก็แรดได้แล้ว
เครื่องตรงยุค 90 มันจะมีเสน่ห์อย่างหนึ่งคือ “ระบบไม่ซับซ้อนเกินไป” ไม่เหมือนเครื่องสมัยใหม่ เรายังเล่นกับมันได้อยู่ ของก็ยังพอมี โดยมากแล้วจะนิยมเล่นเครื่องญี่ปุ่นกันเพราะหาง่ายและมีเยอะ อย่างรถยุโรปรุ่นเก่าๆ หน่อย อย่าง BMW E30 ก็จะนิยมวางเครื่อง SR20DET ฝาแดง เทอร์โบ จาก NISSAN 180 SX เรี่ยวแรงระดับ 205 ม้า (ม้าขึ้นอยู่กับสภาพเครื่องและการเดินสายไฟ ถ้าไม่สมบูรณ์ก็ตกทะเลตายไปเยอะหน่อย) สร้างความเร้าใจให้ได้มากพอดู เพราะ E30 น้ำหนักรถมันไม่มากนัก ตัวนี้แต่ก่อนจะแพงอยู่ราวๆ 6 หมื่น นอกจาก E30 แล้วก็นิยมวางในรถขับหลังหลายรุ่น อย่าง 190 E ก็มีบ้างประปราย แต่โดยมากจะเป็นรถขับหลังปี 80 ซะเยอะ เพราะเครื่องลงง่าย น้ำหนักเบา แรงเอาเรื่อง ต้นจัด...
ส่วนสาย BENZ พวก W123 ก็ต้อง 7M-GTE จาก SUPRA MA70 ถึงจะเหมาะ หลัง ๆ ก็มาเป็น 1JZ-GTE ยอดฮิต ที่ยุค 90 ราคาโดดไป 7-8 หมื่นบาท ในสภาพสด ๆ ก็อาจจะเกิน แต่ถ้าไฮเทคและไฮโซสุด ๆ ก็ต้อง 2JZ-GTE ที่ตอนนั้นยังใหม่และแพงมาก ราคา “แสนห้าอัพ” ถ้าเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ก็ “สองแสนกว่า” เท่านั้นเอง จำได้ลูกค้า ป๋าหรั่ง ชัยศิริยนต์ ขับ MIGHTY-X สีเขียวเดิม ๆ แต่วาง “สองเจโบออโต้” ไว้หลอกแดกมิตรสหายร่วมถนน แต่ถ้าจะเอาแบบ 6 สูบ แรงนุ่ม ๆ ก็ต้อง 1G-GTE ในตำนาน เสียงหวานจับใจ นิยมวางในกระบะ หรือไม่ก็พวกรถขับหลังขนาดกลางขึ้นไป...
ส่วนรถขับหน้าขนาดเล็ก นี่เลย 4A-GE 16 วาล์ว ฝาลาย ขับสนุก เบา ๆ แรงกำลังดี เอาแรงอีกหน่อยก็ 20 วาล์ว ฝาขาว วางใน AE80-AE100 ได้เลย ส่วน 3S-GTE อันนี้ต้องสายขับหน้าโดยตรง มีเอามาแปลงขับหลังบ้างแต่น้อย ตัวขับหน้าถ้าเล่นกันโหดๆ ก็ใส่ใน AE92-AE100 แต่ต้องระวังนะเพราะแรงจริงแต่ “เอาอยู่หรือเปล่า” ช่วงล่างกับล้อยางต้องถึง ๆ หน่อย แต่ถ้าจะให้ครบชุด ก็จะเอา CORONA ST171 “หน้ายักษ์กะแป๊ะยิ้ม” วางไปเลย พร้อมแปลงช่วงล่างหลังเป็น CELICA GT-FOUR ทำเป็นขับสี่กันไปเลย แต่ต้องแปลงเยอะมาก ฝีมือไม่ดีจริงก็เสี่ยงทิ้งรถล่ะครับ...
ส่วนค่าย NISSAN นอกจาก SR20DET แล้ว ก็จะมีสาย “หกสูบ” อย่าง RB20DET ตัวเก่าจะเป็นฝาแดง ตัวใหม่ใน CEFIRO หรือ SKYLINE R32 GT-S จะเป็นฝาขาว ตอนนั้นก็ราคาเอาเรื่องเหมือนกัน แถว ๆ 6-7 หมื่น เอามาวาง CEFIRO บ้านเราล่ะเหมาะสุด ๆ ร้อยน็อตยัดโบ๊ะเลย แรงนุ่ม ๆ เสียงหวาน ๆ วางในรถขับหลังขนาดกลางอื่น ๆ ได้เยอะ เช่น BMW E28, SKYLINE C210-R30, กระบะ BIG-M แต่ต้องทุบห้องเครื่อง ส่วน RB26DETT จาก SKYLINE GT-R นี่ก็แพงมากเหมือนกัน คนไม่นิยมเพราะเป็น “ขับสี่” แต่ถ้าแปลงเป็นขับสอง ต้องหาเกียร์ 300 ZX มาชน ตอนนั้นใครวางก็ถือว่าสุดในตองอูแล้ว ที่เห็นก็ CEFIRO นั่นแหละนิยมวางกันมากสุด เพราะเหมาะสมทุกอย่าง...
ถ้าสาย HONDA CIVIC ถ้ายุค 90 ต้น ๆ ต้อง ZC 1,600 ซีซี. แบบ DOHC ไม่มี VTEC แรงระดับหนึ่ง ถ้าจะเอาโหดก็ต้อง “ยัดเทอร์โบ” แต่ก่อนแรงๆ ก็ต้องรถจาก DRIVER MOTORSPORT ของ “เหน่ง ไดร์เวอร์” แต่ถ้าสุดยอดเครื่อง คงไม่ต้องบอกว่าเป็น B16A ถ้า EG จะเป็นแบบ “เทคใหญ่” คำว่า VTEC จะใหญ่กว่า DOHC ถ้า EF จะเป็น “เทคเล็ก” 160 ม้า (ออโต้ 155 ม้า แคมองศาต่ำกว่า) แต่ถ้าเป็น ACCORD ตาเพชร นี่เลย H22A VTEC 2,200 ซีซี. แรงแบบง่าย ๆ ยัดได้เลยตรงรุ่น
SKYLINE R33 ตอนยุคนั้นก็ยังใหม่ ความแพร่หลายสู้ R32 ไม่ได้ ตัว 400 R นี้ ทาง เอม มอเตอร์สปอร์ต ในสมัยนั้นเป็นตัวแทนจำหน่าย NISMO เปิดให้สั่งซื้อ
300 ZX ที่ต้องเป็นคนชอบเฉพาะทางจริง ๆ เพราะต้องดูแลถึง ๆ หน่อย
ไม่มีใครไม่รู้จัก CIVIC 3 Doors ที่เปิดตัวในเมืองไทยด้วยราคาแถว ๆ สี่แสนบาท ไม่แพงครับ ขายกระจุยกระจาย สายเล่นมีตังค์ก็ออกรถป้ายแดงมายัด B16A กันเลย สุดแน่นอน
ใครมี 4 Doors ก็แต่งสวยได้ โดยการเอา FERIO มาใส่ยกคัน แต่งแบบ JDM ในยุคนั้นก็มีแล้ว
2JZ-GTE สมัยนั้นถือว่าสุดมาก ใครมีปัญญาซื้อและวางได้นี่นับคันได้เลย
RB26DETT ถ้าสาย NISSAN เฉพาะทาง ต้องมีมันไว้ในใจ
B16A VTEC รอบจัดสุด ๆ ตื่นเต้นมากในยุคนั้นเพราะคนยังไม่รู้จักกับ VTEC เลย
4A-GE 20 วาล์ว พยายามจะมากัดกับ B16A แต่ก็สู้ไม่ไหว
ช่วงล่าง เบรก สายเทียบเซียงกงอีกแล้ว
เอาแบบดิบ ๆ ง่ายๆ เน้นเตี้ยก็ต้อง “ตัดแกนโช้ค ตัดสปริง อัดน้ำมันโช้ค” เตี้ยสะใจ แต่ต้องแลกกับความเป็น “เกวียน” ที่มาแทนคำว่า “รถ” วิ่งไปเด้งไปกระแทกไปจนคิดว่าสรุปแล้วกูนั่งอยู่บนอะไร วัยรุ่นก็ชอบดูแล้วเหมือนรถแข่ง (รถแข่งจริงๆ คนละอาการเลย) สมัยนั้นเตี้ยสุด ๆ ก็ต้องวัดกันที่ “ซองบุหรี่วางนอน” ถ้าไม่ตัดสปริงก็ต้องสร้างสตรัทปรับเกลียวขึ้นมา แล้วเอาสปริง HONDA ใส่ ถ้ามีงบขึ้นมาอีกหน่อย ก็ต้องหาพวก “โช้คซิ่ง สตรัทปรับเกลียว” ของเก่าญี่ปุ่นมา เสี่ยงดวงหน่อยว่าจะถูกใจหรือเปล่า หรือใช้ได้อีกนานแค่ไหน หรืออีกทีก็เอาโช้คเดิมรถตัวนอกที่เกรดสูงกว่ามาใส่ เช่น COROLLA AE บ้านเรา เอาโช้คพร้อมสปริงเดิม LEVIN ตัวนอกรุ่นท๊อปที่เซ็ตมาหนึบแน่นกว่ามาใส่ได้เลย เอามาพร้อมชุดดิสก์เบรก 4 ล้อ ยัดโบ๊ะเลยจบเรื่องไป...
เตี้ยไม่เตี้ยวัดกันตรงนี้
พอเป็นอดีตก็เล่ากันซะยาว คนเขียนก็นึกว่าจะแก่แล้ว แต่จริง ๆ แล้วตอนยุคซิ่ง 90 ก็ยังไม่ถึงคำว่า “นาย” เลย อาศัยความทรงจำในยุคนั้นที่ได้คลุกคลีกับวงการรถซิ่งกับรุ่นพี่ รุ่นอา ไปยันรุ่นพ่อ จึงซึมซับและรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์แบบ “ต้องค้นคว้าและลองเอง” ไม่มีสูตรสำเร็จ ลองอย่างเดียว พังก็เยอะ คลำถูกจุดก็แรงไป ว่าง ๆ ก็ไปสิงเซียงกงเดินคุ้ยเดินหาของแต่งกัน ใครเจอของถูกใจก็จะมีความรู้สึก “ปลื้มปริ่ม” และ “ตื่นเต้น” เพราะมันไม่ใช่ว่าจะถามซื้อแล้วมีเลย คุณค่ามันอยู่ตรงนี้ ผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาแล้วในยุคนั้น ซึ่งต่างจากยุคนี้ที่แม้รถจะแรงกว่าจริง แต่ความสนุกในการหาของมันไม่เหมือนกัน มีเงินก็สั่งได้เลยส่งถึงที่ ดังนั้น เสน่ห์ของยุค 90 จึงคงอยู่เสมอ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจะแต่งรถยุค 90 หากมีรถตรงยุคก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องขยันหาของตรงยุคกันหน่อย ไม่จำเป็นต้องเป๊ะทุกอย่าง แต่ขอให้มีของแต่งหลัก ๆ ตรงยุค เอา “กลิ่นไอ” ไว้บ้างก็แล้วกันถ้ารักจะแต่งแนว 90 จริง ๆ...
ขอขอบคุณ : รูปและข้อมูลบางส่วน จากเว็บไซต์ www.xo-autosport.com และคุณตุ้ย UNITY จากเพจ “รถซิ่ง The Palace” ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...