องค์การเภสัชกรรม แถลงผลงานปี 60 ช่วยรัฐประหยัดกว่า 6.4 พันล้าน พร้อมทุ่มกว่า 7.9 พันล้านสร้างโรงงานยาเพิ่ม

1209 จำนวนผู้เข้าชม  | 

องค์การเภสัชกรรม แถลงผลงาน ปี 60 ช่วยรัฐประหยัดค่ายากว่า 6.4 พันล้าน พร้อมทุ่มกว่า 7.9 พันล้านบาทขยายกำลังการผลิตและยกระดับมาตรฐาน เตรียมสร้างโรงงานผลิตยาเพิ่มและโรงงานสารสกัดจากสมุนไพร          ผลิตยาในหลายๆ กลุ่ม เน้นกลุ่มยารักษาโรคมะเร็ง และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร

 

นพ.โสภณ  เมฆธน  ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม พร้อมด้วย คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม และคณะผู้บริหารองค์การเภสัชกรรม แถลงข่าวผลการดำเนินงานปี 2560 และทิศทางการดำเนินงานในอนาคตขององค์การเภสัชกรรม

ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวถึง การดำเนินงานขององค์การเภสัชกรรมว่า ตลอดระยะเวลา           ที่ผ่านมาองค์การฯ ได้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักด้านยา และเวชภัณฑ์ให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศ สร้างความสมดุลให้กับระบบยาของประเทศ ทั้งในเรื่องของราคา คุณภาพ  จำนวนรายการยาจำเป็น ยาเชิงสังคม และการกระจาย เพื่อสร้างการเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ของคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นดูแลระบบบริการสุขภาพในภาครัฐเป็นสำคัญ  

ผลการดำเนินงานในปี 2560 องค์การฯ มียอดจำหน่าย 15,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 750 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.95 (ปี2559 มียอดขาย 15,155 ล้านบาท) แบ่งเป็นยาองค์การฯ จำนวน 7,300 ล้านบาท ยาของผู้ผลิตอื่น จำนวน 8,605 ล้านบาท เป็นยอดกระจายยาเชิงสังคมถึง 11,563  ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73 ของผลประกอบการ และเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2560 จำนวน 1,189 ล้านบาท ทั้งนี้ องค์การฯมีโครงการสำคัญ 3 แผนงานดังนี้

“โครงการวิจัย พัฒนาและก่อสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง”เพื่อผลิตยารักษาโรคมะเร็งได้ด้วยตนเองขึ้นในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคายาลดลงถึง 50 เปอร์เซนต์ ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้น ทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านยา      โดยมุ่งเน้นการผลิตยารักษาโรคมะเร็งในทุกกลุ่ม ได้แก่ ยาเคมีบำบัดชนิดเม็ดและฉีด ซึ่งเป็นยาพื้นฐานในการรักษาโรคมะเร็งที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย และยารักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อ Cell มะเร็ง ทั้งชนิดเม็ด และยาฉีดชีววัตถุ

สำหรับแผนการดำเนินงาน องค์การฯได้แบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 นำเข้าเพื่อจำหน่าย และแบ่งบรรจุผลิตภัณฑ์ ภายใน 2 ปี ควบคู่กันไปกับการวิจัย และพัฒนายา ระยะที่ 2 การก่อสร้างโรงงาน ซึ่งจะใช้เวลา 4-5 ปี  และระยะที่ 3 ดำเนินการผลิตเพื่อจำหน่ายด้วยตนเอง          ซึ่งทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 8 ปี คาดว่าจะสามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายได้ในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะใช้งบทั้งสิ้นประมาณ 1,500 ล้านบาท  ล่าสุดได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงกับปตท.ศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างโรงงานผลิตยารักษามะเร็ง


“โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยารังสิตระยะที่ 2” ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อผลิตยาน้ำรับประทาน ยาครีม

ยาขี้ผึ้ง ยาปราศจากเชื้อ ยาน้ำใช้ภายนอก ยาฉีด และยาเม็ด รวมทั้งคลังที่ใช้สำหรับการสำรองวัตถุดิบและอุปกรณ์         โดยใช้งบประมาณจำนวน 5,607 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ในขณะเดียวกันองค์การฯได้จัดทำ Conceptual Design และ Site Master Plan ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้รับรองแบบการก่อสร้างโรงงานแล้ว การจัดทำ Basic Design & Detail Design โรงงานผลิตและคลัง ซึ่งผ่านการรับรองแบบจากอย.แล้ว   และนอกจากนั้นยังได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนการก่อสร้างและผ่านความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมถึงได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากกรมธนารักษ์ และเทศบาลบึงสนั่นแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างข้อกำหนดการจ้างควบคุมงานก่อสร้างและกำหนดราคากลาง โดยคาดว่าเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปี 2561 และจะแล้วเสร็จทั้งหมดใน ปี 2564 ซึ่งในอนาคตอาจจะย้ายฐานการผลิตและการสำรองและกระจายเกือบทั้งหมด จากถนนพระรามที่ 6 ไปยังที่ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี

ในส่วนของ “แผนการสร้างนวัตกรรมและผลิต ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร” โดยเน้นที่กลุ่มผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรทั้งที่เป็นสารสกัดสมุนไพรที่เป็นยาเดี่ยว และสารสกัดจากสมุนไพรตำรับ  ที่มีความต้องการใช้สูงในระบบสุขภาพของประเทศและตลาดโลก เช่น กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โรคมะเร็ง เป็นต้น และกลุ่มยาสมุนไพรที่ใช้ในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ไดแก่ ยาสามัญประจําบ้านแผนโบราณ ยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ รวมถึงกลุ่มยากําพร้า ยาขาดแคลน  โดยจะมีการพัฒนากลไกทางการตลาดเพื่อขยายตลาด เพิ่มช่องทางการตลาดให้ประชาชนได้เข้าถึงมากขึ้น  โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์สมุนไพรนี้  จะมีการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องจักรมูลค่าประมาณ 77 ล้านบาท เพื่อติดตั้งในโรงงานผลิตเภสัชเคมีภัณฑ์ที่กำลังจะก่อสร้างเสร็จในกลางปีนี้ และจะมีการก่อสร้างโรงงานสารสกัดสมุนไพร ด้วยงบประมาณ 717 ล้านบาท  ขึ้น  ที่อำเภอหนองใหญ่ จ.ชลบุรี สำหรับการดำเนินงานด้านสมุนไพรครบวงจรต่อไป นอกจากนั้น จะได้มีการจัดทำโครงการ เกษตรพันธสัญญา หรือ Contract Farming พืชสมุนไพร เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีสารสำคัญจากสมุนไพรได้มาตรฐาน ปริมาณเพียงพอและต่อเนื่อง และยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ

ด้าน ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า การที่องค์การฯเข้าไปเป็นกลไกในการจัดหาและสำรอง                 เพื่อรักษาสมดุล และตรึงราคาให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมและสร้างการเข้าถึงให้มากขึ้น ทำให้ปี 2560 องค์การฯ ช่วยประหยัดงบประมาณจัดหายาของภาครัฐได้ถึง 6,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,417 ล้านบาท โดยเป็นยาในกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์ที่สามารถประหยัดได้ถึง 2,554 ล้านบาท รองลงมาเป็นยาต้านไข้หวัดใหญ่ 1,000 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังได้มีการผลิตและสำรองยากำพร้าและยาขาดแคลนเพิ่มอีกขึ้น 1 รายการ คือยา Mometasone Furoate  ใช้บรรเทาอาการอักเสบและอาการคัน ในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อคอริติโคสเตียรอยด์ ที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป รวมเป็น 31 รายการมูลค่าทั้งสิ้น 87 ล้านบาท  และปี 2561 จะเพิ่มรายการยากำพร้าและยาขาดแคลนเพิ่มอีก 2 รายการคือ Flumazenil  ใช้รักษาอาการสงบประสาทของการได้รับยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน(Benzodiazepine) และยา Isoprenaline ใช้รักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และในช่วงที่เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดที่ผ่านมา องค์การฯได้จัดส่งยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้กระทรวงสาธารณสุขกว่า 400,000 ชุดอย่างรวดเร็วและทันท่วงที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้นยังนำส่งรายได้ให้รัฐ อีก  816 ล้านบาท

ส่วนของการดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ตามมาตรฐาน WHO –GMP ที่ จ.สระบุรี  ซึ่งการก่อสร้างโรงงานเสร็จแล้ว นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบระบบต่างๆอย่างเต็มรูปแบบทั้งระบบ

ส่วนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายแบบสามสายพันธุ์ ที่โรงงานต้นแบบ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบทางคลินิกระยะที่3 ซึ่งจะเสร็จในปี 2561และคาดว่าจะได้รับการขึ้นทะเบียนจากอย. ได้ในปี 2562 หลังจากนั้นจะนำข้อมูลไปประกอบและเชื่อมโยงกับผลการผลิตวัคซีนที่ผลิตที่โรงงานในระดับอุตสาหกรรมที่ทำการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 หรือ Bridging Study  เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการขึ้นทะเบียนกับอย. คาดว่าจะสามารถขึ้นทะเบียนได้ในปี 2563

ในช่วงปีที่ผ่านมาองค์การฯมีความภาคภูมิใจมากจากการที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้มาตรวจและให้การรับรองโรงงานผลิตยารังสิต 1 และประกาศเผยแพร่ในเว็บไซต์ของ WHO ซึ่งแสดงถึงการเป็นโรงงานผลิตยาที่ได้มาตรฐานการผลิตในระดับสากล และนอกจากนั้นองค์การยังได้รับรางวัล อย.Quality Award ประจำปี 2561 ด้านยา ในหมวดยา ทั้ง 2 โรงงาน  คือที่องค์การเภสัชกรรม ถนนพระรามที่ 6 และองค์การเภสัชกรรม อำเภอธัญบุรี จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้