5406 จำนวนผู้เข้าชม |
ในช่วงนี้หลาย ๆ พื้นที่ก็ต่างมีพระพิรุณมาโปรยปรายให้ได้ชุ่มฉ่ำกันไม่มากก็น้อย ซึ่งการที่ฝนตกลงมาแบบนี้หลาย ๆ คนมักจะคิดว่า “เออ...ดีว่ะ ไม่ต้องล้างรถ เพราะเดี๋ยวฝนตกลงมาก็ชะล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามรถอยู่แล้ว” แต่บอกได้เลยครับว่าวิธีการคิดแบบนั้นถือเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์
ถามว่าทำไมถึงผิดล่ะ? ที่ผิดก็เพราะว่าจริง ๆ แล้วฝนที่ตกลงมามันไม่ใช่น้ำสะอาดอย่างที่คุณคิดน่ะสิ เนื่องจากในอากาศที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานั้นมันยังมีธาตุและฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่ตาเรามองไม่เห็นล่องลอยปะปนอยู่ด้วย ทำให้เมื่อฝนตกลงมา ตัวน้ำฝนก็จะนำพาเจ้าฝุ่นต่าง ๆ เหล่านี้ปะปนลงมาด้วย ซึ่งฝุ่นพวกนี้บางตัวเมื่อรวมตัวกับน้ำแล้วจะมีค่าเป็นกรด เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมล่ะครับว่าเมื่อน้ำฝนที่ตกลงมามันมีค่าความเป็นกรด แทนที่มันจะทำความสะอาด กลับกลายเป็นว่ามันเป็นตัวทำลายผิวสีของรถแทน โดยเมื่อน้ำฝนแห้งไป สิ่งที่จะทิ้งไว้บนผิวสีของรถท่านก็คือเจ้าเศษฝุ่นต่าง ๆ เหล่านี้นั่นเอง และเมื่อเราปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ คราบพวกนี้ก็จะค่อย ๆ แห้งและยึดติดกับผิวสีจนกระทั่งไม่สามารถล้างทำความสะอาดออกได้หมด ซึ่งถ้ารถของคุณเลยไปถึงจุดนี้แล้ว ก็คงแนะนำให้พึ่งพาฝีมือของช่างผู้ชำนาญงานในคาร์แคร์ต่าง ๆ เป็นผู้แก้ไขให้ โดยการแก้ไขก็อาจจะแค่ใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำกับฝาไมโครไฟเบอร์ค่อย ๆ เช็ดออก แต่ถ้าเอาไม่ออกก็คงต้องขัดสีกันใหม่ล่ะ กระจกต่าง ๆ รอบคันรถก็ไม่ควรไว้วางใจเพราะถ้าทิ้งไว้นาน ๆ ก็อาจะเจอปัญหาคราบน้ำเช่นเดียวกัน และถ้าคราบสกปรกฝังแน่นลงไปในเนื้อกระจกเมื่อไหร่ บอกเลยครับว่ามีงานช้างมารอแล้ว
แล้ววิธีป้องกันล่ะ จะทำยังไงได้บ้าง ง่าย ๆ เลยครับก็คือพยายามทำความสะอาดรถบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้คราบสกปรกมันฝังแน่น สมมติว่าวันนี้ขับรถลุยฝนมา อย่างช้าสุดขอให้ล้างรถภายในหนึ่งอาทิตย์ถัดไป และถ้าเป็นไปได้ควรเคลือบสีด้วย เพื่อให้น้ำยาเคลือบสีช่วยปกป้องผิวสีรถยนต์ของท่าน เช่นเดียวกับกระจกรถยนต์ที่ก็ควรจะเคลือบน้ำยาเช่นกันเพื่อให้ตัวกระจกมีความลื่น น้ำจะได้ไม่เกาะ นอกจากนี้ตามพรมพื้นต่าง ๆ ตรงที่วางเท้า ถ้ามีเวลาก็ควรถอดมาล้างทำความสะอาดแล้วตากแดดให้แห้งเพื่อลดกลิ่นอับ เนื่องจากเวลาที่เราขึ้นรถบางทีรองเท้าเราอาจจะเหยียบย่ำน้ำที่ขังอยู่บนพื้นหรือบางท่านอาจต้องวิ่งลุยฝนมาที่รถ น้ำที่ติดรองเท้ามาก็จะหยดลงมาที่พรมรองเท้า ซึ่งเมื่อท่านทิ้งไว้นาน ๆ ก็จะทำให้มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ตามมาทีหลังได้
อีกสิ่งที่อยากแนะนำคือพยายามจอดรถในที่ร่มมากกว่าจอดกลางแจ้งเพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดเผาทำลายผิวสีรถยนต์ อีกทั้งควรระวังคือการจอดรถใต้ต้นไม้เนื่องจากต้นไม้หลาย ๆ ชนิดจะมียางไม้ หากมันตกลงบนผิวสีของรถเรา เมื่อปล่อยทิ้งไว้ ยางไม้เหล่านี้จะค่อย ๆ แทรกซึมลงไปในเนื้อเคลียร์โค้ท อันอาจจะให้การทำความสะอาดแบบทั่วไปไม่สามารถออกได้ทั้งหมด
ก็ถือว่าเป็นคำแนะนำแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยปกป้องผิวสีรถยนต์ของท่านในช่วงหน้าฝนนี้ และเมื่อหน้าฝนผ่านไปก็ควรทำความสะอาดใหญ่ทั้งภายนอก ภายในรถสักครั้งก็ดีนะครับ เพื่อที่รถท่านจะได้สะอาด น่าใช้ไปนาน ๆ ครับ