1247 จำนวนผู้เข้าชม |
EVme Plus บริษัทในเครือของ ปตท. ผู้ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า EV ได้แตกไลน์ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับแท็กซี่ที่เตรียมปลดระวาง โดยการเปิดตัวรถ AIOS ES ซึ่งเป็นการร่วมมือกับ GAC ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ในเมืองไทย เน้นเจาะกลุ่มผู้ประกอบการรถโยสารสาธารณะ ผู้ขับแท็กซี่ และบุคคลทั่วไป
โดยทาง EVme Plus มีการศึกษา พร้อมกับเล็งเห็นถึงโอกาส และช่องทางในการนำระบบ Smart Taxi มาติดตั้งทั้ง มิเตอร์ ระบบ GPS ป้ายไฟแท็กซี่ เพื่อมอบความปลอดภัย สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร พร้อมกับนี้ทาง EVme Plus ยังมอบสิทธิพิเศษในการขยายการรับประกันมอเตอร์ขับเคลื่อน และแบตเตอรี่ให้กับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ พร้อมกับเตรียมสถานีชาร์จไฟ Chang hub เพื่อรองรับการชาร์จไฟให้แก่ Taxi EV และรถยนต์ EV อื่นๆ ภายใต้การร่วมมือ และร่วมทุนระหว่างบริษัท โกลด์ อินทิเกรท กับ บริษัท ไอออน เอเนอร์จี
AION ES Model Taxi พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งซีดาน 4 ประตู 5 ที่นั่ง ในกลุ่ม C-Segment ในประเทศจีนจะมีเวอร์ชั่นที่หรูหรากว่าก็คือ AION S รูปลักษณ์ภายนอกออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Day Time Running Light รูปทรงตัว Y ในโคมชุดเดียวกัน กันชนหน้าออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ตนิดๆ หลังคาสโลบต่ำสไตล์สปอร์ตซีดาน กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED แบบพับด้วยมือ ด้านท้ายเรียบง่ายที่มาพร้อมกับชุดไฟท้ายแบบ LED Laser Blade และไฟเบรคดวงที่ 3 เพื่อความปลอดภัย มิติของตัวรถยาว 4,810 มม., กว้าง 1,880 มม., สูง 1,545 มม. และความยาวฐานล้อมากถึง 2,750 มม.
ภายในห้องโดยสารออกแบบเน้นความเรียบง่าย ใช้งานสะดวกสบาย ชุดมาตรวัดเรือนไมล์แบบไฟฟ้าแบบเป็นมาตรวัดทรงกลม 2 ฝั่ง โดยทางด้านขวาจะเป็นมาตรวัดความเร็ว ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็นมาตรวัดการใช้พลังงานไฟฟ้า และการรีชาร์จไฟ ตรงกลางเป็นจอ TFT ที่บ่งบอกสถานการณ์ทำงานต่างๆ ของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นการวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ระบบขับเคลื่อน, มาตรวัดระยะทางการเดินทาง-เวลาในการเดินทาง, มาตรวัดแรงดันลมยาง-อุณหภูมิลมยาง, การใช้พลังงานไฟฟ้า kW/100 กม., ความเร็วแบบดิจิตอล, อุณหภูมิภายนอกห้องโดยสาร, แรงดันเบตเตอรี่ลูกเล็ก 12V, ความเร็วรอบของมอเตอร์ x100 รอบต่อนาที(อันนี้น่าสนใจ และชอบมากๆ)
พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน ปรับได้แค่ 2 ทิศทางเท่านั่น พวงมาลัยติดตั้งสวิทช์ Cruise Control ทางฝั่งขวา และปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และหน้าจอ TFT ทางฝั่งซ้าย, ก้านสวิทช์ไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างอยู่ทางด้านซ้าย ไฟหน้าเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ, ก้านสวิทช์ปัดน้ำฝนอยู่ทางฝั่งขวา ปัดน้ำฝนตั้งเปิด-ปิดอัตโนมัติได้อีกเช่นกัน ใกล้ๆ กับพวงมาลัยจะมีปุ่ม Push Start ออยู่ทางฝั่งซ้าย ส่วนใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับติดตั้งปุ่มเปิดฝาท้าย, ปลอดล็อคที่ชาร์จ, ปิดแท็กชั่นคอนโทรล และ I-Pedal
จอเครื่องเสียงขนาด 8 นิ้ว แบบทัชสกรีน เครื่องเสียงเชื่อมต่อ Blutetooth ได้(แต่ยังไม่สามารถเชื่อมต่อ Apple Car Play กับ Android Auto ได้) ถัดลงมาเป็นช่องแอร์คู่กลางใกล้ๆ กันเป็นชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบ Touch Screen แถมยังเป็นแบบ Dual Zone เสียด้วย พร้อมกับมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 2 ช่อง แผงคอนโซลกลางออกแบบให้เป็นสเต็ป และเชื่อมต่อเป็นเท้าแขนในตัว มีที่วางโทรศัพท์พร้อมกับช่องเสียบ USB Type A ให้ 2 ช่อง พร้อมกับช่องเสียบชาร์จไฟแบบมาตรฐานอีก 1 ช่อง
สวิทช์เลือกระบบขับเคลื่อนเป็นแบบปุ่มหมุน R-N-D โดยปุ่ม P จะแยกออกมา การใช้งานแทบจะไม่มีอาการดีเลย์ในการใช้งานเลย ใกล้ๆ กัน เป็นชุดสวิทช์เบรคมือไฟฟ้า, Auto Brake Hold พร้อมกับ Drive Mode ซึ่งเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 3 โหมดด้วยกัน กล่องเก็บของบริเวณเท้าแขนมีขนาดพอเหมาะ ทางด้านหลังเป็นช่องแอร์ 2 ช่อง พร้อมกับช่องเสียบชาร์จไฟอีก 2 ช่องแบบ USB Type A เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารยามเดินทางได้เป็นอย่างดี
เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบให้นั่งได้สบายดีไม่น้อย มีปีกเบาะคอยซัพพอร์ตไม่ให้ตัวเลื่อนไหลหลุดออกจากเบาะ เบาะคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง ส่วนผู้โดยสาตอนหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง แบบอัตโนมือทั้งคู่ เบาะนั่งด้านหลังออกแบบให้นั่งสบายส่วนรองต้นขาเต็มดี(แต่ผู้โดยสารที่สูงเกิน 173 ซม. อาจนั่งอึดอัดไปนิด) ตัวเบาะสามารถพับแยก 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้เป็นอย่างดี เสียอย่างเดียวไม่มีเท้าแขนตรงกลางมาให้ โทนสีภายในเลือกใช้สีดำทั้งหมด ตัวเบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนัง PU ทำความสะอาดได้ง่าย มีความทนทานสูง
ทางด้านมอเตอร์ขับเคลื่อนให้แรงม้าสูงถึง 100 kW(136 แรงม้า) แรงบิด 225 นิวตัน-ม. ความเร็วสูงสุดของตัวรถถูกล็อคไว้ที่ 130 กม./ชม. มอเตอร์ขับเคลื่อนชุดนี้รับไฟมาจาก แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ชาร์จไฟ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทาง 442 กม.(NEDC) รองรับการชาร์จไฟกระแสสลับ AC ที 6.6 kW ใช้เวลาในการชาร์จไฟ 0-100% ใช้เวลาเพียง 6 ชม. และการชาร์จไฟกระแสตรง DC ซึ่งรองรับกระแสไฟได้สูงสุด 75 kW ระยะเวลาในการชาร์จไฟ 0-80% ใช้เวลาเพียง 40 นาทีเท่านั่น
ทางด้านระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนทางด้านหลังเป็น ทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง ช็อคอัพ พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว รัดไว้ด้วยยางไซส์ 215/55 R17 ทั้ง 4 เส้น
ด้านสมรรถนะของ AION ES Model Taxi ถือว่าเป็นรถที่มีอัตราเร่งในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับแรงบิดสูงสุดของตัวมอเตอร์ จุดเด่นอยู่ที่การรีเจนไฟกลับเข้ามาเก็บที่แบตเตอรี่ซึ่งสามารถเลือกได้ 3 ระดับ แถวยังมีโหมด i-Pedal ซึ่งจะทำงานร่วมกับการรีเจนในโหมดสูงสุด(โหมดนี้สามารถชะลอความเร็วรถแทบจะหยุดสนิท) และยังมีโหมด Eco+ ที่สามารถล็อคความเร็วของตัวรถให้วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 90 กม./ชม. โดยโหมด Eco+ ยังมีฟังก์ชั่น CREEP จะทำหน้าที่ปล่อยกระแสไฟเข้าสู่มอเตอร์น้อยลงทั้งๆ ที่ผู้ขับขี่กดคันเร่ง 100% แล้วก็ตาม
ฟิลลิ่งของพวงมาลัยน้ำหนักไม่ถึงกับเบาโหวงเหวง แต่ก็ไม่หนักจนเกินไป อัตราทดพวงมาลัยอาจยังไม่ฉับไวนัก(ซึ่งก็เป็นข้อดี สำหรับผู้ขับประเภทชอบกระชากพวงมาลัยตอนเลี้ยวโค้ง ผู้โดยสารด้านหลังตัวจะเหวี่ยงไม่มากนัก) แต่ก็ให้ความคล่องตัวดีในการขับขี่ในเมือง และเดินทางไกล
ส่วนแฮนด์ลิ่งของช่วงล่างต้องถือว่าให้มาดีเกินตัว ซึ่งวันที่เราไปทดลองขับทาง EVme ได้จัดพื้นที่ในการทดสอบในรูปแบบของการทดสอบจริงๆ ช่วงสลาลอมด้วยความเร็วระดับ 60 กม./ชม. อาการของตัวรถยังอยู่ในการควบคุม หน้ารถไม่ยุบเร็วจนเกินไป และท้ายรถยังไม่ออกอาการให้กังวลแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการหักหลบแบบฉุกเฉินที่ความเร็วระดับ 50 กม./ชม. อาการรถก็ถือว่าอยู่ในการควบคุม ระบบเบรกก็ให้ความไว้วางใจได้ แป้นเบรคระยะการทำงานสูงมากนักให้การคอนโทรลที่ดีพอตัว น้ำหนักการตอบสนองใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป
EVme ใจปล้ำในเรื่องการรับประกัน AION ES Model Taxi สำหรับบุคคลทั่วไปที่ 8 ปี ระยะทาง 200,000 กม. สำหรับองค์กรผู้ให้เช่า หรือผู้ขับแท็กซี่ส่วนบุคคล ได้รับการรับประกันเพิ่มขึ้นเป็น 9 ปี ระยะทาง 900,000 กม.(อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) เลยทีเดียว และการเข้าเซอร์วิสสามารถเข้าได้ที่ FIT Auto ในเครือของ ปตท. อีกเช่นกัน ซึ่งมีมากถึง 94 แห่ง ทั่วประเทศ และสำหรับบุคคลทั่วไปนอกจากเข้าเซอร์วิสที่ FIT Auto แล้ว ยังสามารถนำรถเข้าเซอร์วิสที่ศูนย์บริการของ AION ได้สบายๆ สนนราคาค่าตัวเวอร์ชั่นบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 850,000 บาท แถม Home Charger พร้อมติดตั้งพรมปูท้ายรถ กรอบป้ายทะเบียน และจดทะเบียนให้เรียบร้อย ส่วนราคาแท็กซี่เฉพาะ EVme ราคาอยู่ที่ 929,000 บาท(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) แถม Home Charger, จดทะเบียนป้ายเหลือง, ติดตั้งมิเตอร์ ป้ายไฟ และกล้องบันทึกภายในรถพร้อม GPS