ปลั๊กอินไบริดตัวแรกของค่าย..ขับดีพอตัว..อ็อฟชั่นเกือบเต็ม

91 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ช่วงงาน Motor Expo 2024 ปลายปีที่ผ่านมาค่าย Omada&Jaecoo ได้นำนวัตกรรมยานยนต์แบบ ปลั๊กอินไฮบริด มาโชว์เรียกน้ำย่อย และกระตุ้นกระแสของเหล่าผู้ที่ชื่นชอบรถแนวไฮบริด แต่ครั้งนี้ยังสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟเพื่อเพิ่มระยะการเดินทางจากการขับขี่แบบไฟฟ้า EV 100% ซึ่งในตลาดของรถแบบ ปลั๊กอินไฮบริด ก็คู่แข่งในตลาดที่เปิดตัวก่อนหน้าที่อาทิ MG HS Phev, BYD Sealion6 DM-I รวมไปถึง GWM Haval H6 Phev ที่คเยจำหน่ายมาก่อนหน้านี้แต่หยุดการจำหน่ายไปเพราะราคาค่าตัวที่สูงระดับ 1.6 ล้านบาท แต่ในงาน Bangkok International Motor Show 2025 Haval จะนำ H6 Phev กลับมาขายอีกครั้งในรูปโฉม ไมนเนอร์เชนจ์ และมีการปรับเปลี่ยนขนาดความจุของแบตเตอรี่ให้เล็กลง เพื่อเอาราคามาสู้กับรถในกลุ่มนี้ และแน่นอน Jaecoo 7 SHS ที่เรากำลังจะพาไปชมในครั้งนี้ ก็จะเอาเรื่องของราคาลงไปสู้ด้วยเช่นกัน

แนวทางการดีไซน์ได้แรงบันดาลจาก Land Rover


Jaecoo 7 ถูกวางตำแหน่งของตัวรถในรูปแบบของ SUV ซึ่งเป็นเทรนด์การใช้รถยนต์ของคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เส้นสายตัวรถมาในแนวทรงกล่อง โดดเด่นด้วย กระจังหน้าทรงเหลี่ยมรูปตัว U ขนาดใหญ่ ออกแบบซี่ของกระจังเป็นแนวตั้งเรียงกัน โดยมีโลโก้ Jaecoo ประดับไว้ตรงกลาง ไฟหน้ามาแปลกออกแบบทรงสี่เหลี่ยมวางซ้อนกันในแนวตั้งฝั่งล่ะ 2 ดวง โดยชุดไฟหน้าเป็นแบบ Matrix Adaptive LED เปิด-ปิด อัตโนมัติพร้อมระบบ Auto High Beam ส่วนด้านบนที่ออกแบบเหมือนไฟหน้านั่น แท้จริงแล้วเป็นชุด Daytime Running Light ชายล่างของกันชนหน้ามีการติดตั้งชุด ไฟตัดหมอก ทรงเหลี่ยมไว้ฝั่งล่ะ 1 ดวง(อันนี้ดีมาก และคู่แข่งไม่มีใครติดตั้งมาให้เลย)


เส้นสายตัวรถด้านข้างแบบเรียบง่าย มือเปิดประตูแบบซ่อนเก็บอัตโนมัติเมื่อตัวเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 8 กม./ชม. ซุ้มล้อทั้ง 4 เพิ่มความดุดันด้วย คิ้วซุ้มล้อพลาสติดสีดำขนาดพอเหมาะ รับกับล้อแม็กขอบ 19 นิ้ว ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้บริเวณเสา A-D Pillar ตบแต่งด้วยสีดำ ทำให้ตัวรถดูมีมิติมากยิ่งขึ้น หลังคาเป็นแบบ Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร สามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง พร้อมกันนี้ยังได้ติดตั้ง Roof Rack ไว้สำหรับติดตั้งชุดแร็คหลังคาไว้เพิ่มพื้นที่การเก็บสัมภาระ หรือติดตั้งเต๊ณฑ์หลังคา เวลาไปแคมปิ้ง


เส้นสายด้านท้ายรถเน้นความเหลี่มสันตามสไตล์การออกแบบของตัวรถในภาพรวม ชุดไฟท้ายแบบสี่เหลี่ยมวางพาดยาวเต็มพื้นที่ของท้ายรถ โดยมีโลโก้ Jaecoo ประดับไว้ตรงกลาง เพิ่มความเป็นสปอรต์ด้วยสปอยเลอร์หลังคาสีดำ กันชนท้ายขนาดใหญ่ ออกแบบให้มุมทั้ง 2 ฝั่งเป็นช่องระบายลม ทำให้ตัวรถดูไม่เลี่ยน และให้กลิ่นอายความเป็นรถสปอร์ตนิดๆ ชายล่างของกันชนหลังเติมชุดการ์ดกันกระแทกสีเงิน ทำให้ตัวรถดูมีมิติมากยิ่งขึ้น ฝาท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า(แต่ไม่มีระบบ Kick Sensor มาให้)

ทางด้านมิติตัวรถ Jaecoo 7 ยาว 4,500 มม., กว้าง 1,856 มม., สูง 1,680 มม.,ระยะความยาวฐานล้อ 2,672 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถถึงพื้น 174 มม. ถ้าเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน มิติตัวรถอาจจะดูเล็กกว่านิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาหลักแต่อย่างใด

ห้องโดยสารกว้างพอตัว..เน้นความเรียบง่าย


ภายในห้องโดยสารของ Jaecoo 7 ตามสไตล์ของรถไฟฟ้ายุคใหม่(แม้คันนี้จะเป็น ปลั๊กอินไฮบริด ก็ตามที) เน้นความเรียบง่าย ไม่หวือหวา ปุ่มฟังก์ชั่นการทำงานต่างซ่อนอยู่ในห้องจออินโฟรเทนเม้นท์เป็นหลัก แต่ก็ยังดีตรงที่ทางทีมวิศวกรออกแบบ ได้เพิ่มปุ่มฟังก์ชั่นของพวกระบบขับเคลื่อนอาทิ EV, HEV, โหมดการขับขี่, ปุ่มล็อครถ, ปุ่มเปิดพัดลมปรับอากาศแบบออโต มาให้


จอเรือนไมล์แบบ LED ลอยตัวขนาด 10.25 นิ้ว แสดงฟังก์ชั่นการทำงานได้ครบถ้วนแม้จะกระทั่งระบบ TPMS มีจอ HUD หรือ Heal Up Display สะท้อนบนกระจกบังลมหน้าทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตามมามองที่จอเรือนไมล์ในขณะขับขี่ หน้าจออินโฟรเทนเม้นท์ตรงกลางแนวตั้งขนาด 14.8 นิ้ว ที่อัดแน่นด้วยฟังก์ชั่นการสั่งงานของตัวรถแบบครบครันรวมไปถึงการปรับกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ตัวคอนโซลกลางออกแบบให้เชื่อมต่อกับชุดคอนโซลหน้า มาพร้อมกับแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และเท้าแขนพร้อมช่องเก็บของขนาดใหญ่


เบาะนั่งรอบคันหุ้มด้วยหนัง PU เกรดพิเศษ ผิมสัมผัสที่นุ่มน่านั่ง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง มีระบบดุนหลังมาให้ พร้อมหน่วยความจำ 2 ตำแหน่ง และระบบ Welcome Seat มาให้ครบถ้วน เบาะผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารตอนหลังปรับพักพิงได้ 1 ระดับ และสามารถพับแยกแบบ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสัมภาระได้มากยิ่งขึ้น พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถขนาด 500 ลิตร และเมื่อพับเบาะแล้วจะมีพื้นที่ในการเก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 1,265 ลิตร เลยทีเดียว และที่พิเศษก็คือ แผ่นบังสมัภาระท้ายรถ ถูกออกแบบให้ด้านนึงเป็นสีขาว สามารถถอดออกมาทำเป็นฉากสำหรับฉายภาพจากเครื่องโปรเจ็กท์เตอร์ได้เวลาไปตั้งแค้มป์ เก๋ไหมล่ะ(แต่ตัวเครื่องฉายโปรเจ็กท์เตอร์ต้องซื้อเองนะครับ


347 แรงม้า ขับสนุกใช้ได้


Jaecoo 7 SHS ไอ้คำว่า SHS เดี่ยวต้องมีคนถามว่ามันคือ อีหยั่ง..S แรกมาจากคำว่า Super ตัว H มาจากคำว่า Hybrid ส่วน S ตัวสุดท้ายมาจากคำว่า System รวมกันก็คือ Super Hybrid System นี่ไงล่ะ ตัวเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์บล็อคแถวเรียง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พ้วงด้วยระบบอัดอากาศ เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์แบบน้ำสู่อากาศ ตัวเทอร์โบเลือกใช้ยี่ห้อ BorgWarner ให้แรงม้าสูงถึง 143 แรงม้า แรงบิด 215 นิวตัน-ม. ตัวเครื่องยนต์สามารถรอบรังน้ำมันตั้งแต่ เบ็นซิน 95 ไปยันแก๊สโซฮอล E85 ได้สบายๆ ถังน้ำมันความจุ 60 ลิตร  


นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG(Integrateg Starter Generator)ขนาด 204 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตัน-ม. เมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันจะให้แรงม้าสูงถึง 347 แรงม้า แรงบิดท้วมท้นที่ 525 นิวตัน-ม. โดยระหว่างการทำงานของทั้ง 2 ระบบจะมีชุดเกียร์ DHT ค่อยตัดต่อจัดส่งกำลังลงสู่ล้อให้อย่างเหมาะสม และแหล่งพลังงานหลักมาจาก แบตเตอรี่แบบ Blade Battery Lithium-ion(LFP) ขนาดความจุ 18.3 kWh สามารถรองรับการชาร์จไฟแบบกระแสสลับ AC ที่ 6.6 kW และ การชาร์จไฟกระแสตรง DC ที่ 40 kW ชาร์จไฟได้เร็ว 20-80% ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั่น การประหยัดพลังงาน ทางโรงงานเครมไว้ที่ 1,300 กม. ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถัง(ตามมาตรฐาน NEDC) โหมดการขับขี่มีให้เลือก 3 โหมด Eco, Normal และ Sport


ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องสมรรถนะในการขับขี่นั่น เราต้องมาอธิบายกันก่อนเรื่องของระบบการทำงาน Super Hybrid System ใน Jaecoo 7 กันเสียก่อน โดยเริ่มต้นการใช้งาน ชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจนถึงช่วงความเร็ว 40-60 กม./ชม. รถจะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว(EV Mode) และเมื่อความเร็วเกิน 60 กม./ชม. เครื่องยนต์จะถูกปลุกสตาร์ทขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นบางจังหวะเท่านั่น(Series Hybrid เหมือนระบบของ Nissan Kicks เครื่องยนต์ทำหน้าที่ปั่นไฟเท่านั่น!!!) และเมื่อความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ขึ้นไปหรือผู้ขับขี่มีการกดคันเร่งเกือบ 100% เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ในการปลดปล่อยพละกำลังพาตัวทะยานไปข้างหน้าทำให้การขับขี่สนุกสนานมากยิ่งขึ้น(Parallel Hybrid)

กลับกันในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม.ขึ้นไปนั่นหากแบตเตอรี่ยังอยู่ในระดับ 60% ขึ้นไป เครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่ปั่นไฟให้เท่านั่น โดยจะไม่มีการส่งกำลังไปช่วยมอเตอร์ในขณะขับขี่ ตรงนี้ก็จะได้ความประหยัด และระยะทางการวิ่งที่ไกลมากยิ่งขึ้น     


เข้าเรื่องการทดลองขับเลยล่ะกัน อัตราเร่งในช่วงแรกถือว่ากำลังของมอเตอร์ระดับ 204 แรงม้า และแรงบิด 310 นิวตัน-ม. ถือว่าดีพอตัว(แม้จะไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่ารถ EV ที่มีแรงม้าเท่านี้ เพราะน้ำหนักตัวรถ Jaecoo 7 SHS หนักเฉียด 2 ตัน เพราะต้องแบกเครื่องยนต์ และถังน้ำมันเข้าไปอีก) แต่พอปรับโหมดการขับขี่มาเป็น Sport อันนี้อัตราเร่งติดเท้าดีเลยทีเดียว ช่วงลอยลำความเร็ว 70 กม./ชม. ขึ้นไป และต้องการเร่งแซงพอกดคันเร่งลงไปสุดเสียงเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาในระดับที่รับได้(ส่วนนึงเพราะกระจกบังลมหน้า และกระจกประตูคู่หน้าเป็นแบบ 2 ชั้น) ทีนี้อัตราเร่งจะปรี๊ดปร๊าดใกล้เคียงรถสปอร์ตล่ะ เพราะทั้ง 2 ระบบทำงานพร้อมกัน แต่แน่นอนแบตเตอรี่ก็จะลดลงเร็วนิดนึง กลับกันถ้าใช้ความเร็วแบบคงที่การขับขี่ก็สวูทดีจังหวะการสตาร์ทของเครื่องยนต์เพื่อปั่นไฟนั่นแทบจะไม่กระตุกกระชากเลยก็ว่าได้

เช็ทช่วงล่างมาใช้ได้..เบรคดี


ระบบกันสะเทือนของ Jaecoo 7 SHS ทางด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง โดยที่ตัวช็อคอัพนั่นไม่ได้ยึดกันดุมล้อโดยตรง แต่จะใช้วิธีเสียบกระบอกช็อคอัพเข้ากับดุมล้อ(คล้ายๆ กับฮอนด้า) แบบนี้จะช่วยให้จุดหมุนของชุดสตรัททำงานได้ไวมากยิ่งขึ้น


ส่วนทางด้านหลังเป็นแบบ อิสระ มัลติลิ้งค์ ช็อคอัพ คอยล์สปริง ระบบบังคับเลี้ยวแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยนแบบไฟฟ้า EPS ระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ แฮนด์ลิ่งของช่วงล่างเวลาที่ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำๆ ออกอาการกระด้างนิดๆ แต่พอความเร็วระดับ 80 กม./ชม.



ฟิลลิ่งของช่วงล่างเริ่มออกอาการนุ่มๆ แบบนั่งสบาย เวลาเลี้ยวโค้ง หรือโยกเปลี่ยนเลน ตัวรถก็ยังอยู่ในการควบคุม และไม่โยนตัวมากนัก แต่กลับกันเวลาขึ้น-ลง คอสะพานเร็วๆ อาการท้ายรถจะมียวบๆ ไปนิด(เพราะน้ำหนักตัวรถค่อนข้างมาก) แต่ก็ยังสามารถควบคุมได้สบายๆ กลับกันพวงมาลัยที่ระบุรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 5.5 เมตรนั่น เวลาที่ขับใช้งานโยกเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวในทางแคบๆ กลับต้องหมุนพวงมาลัยค่อนข้างเยอะพอตัว ส่วนนึงน่าจะมาจากอัตราทดพวงมาลัยที่ไม่ได้ชิดนัก น้ำหนักพวงมาลัยไม่ได้เบาโหวงเหวงหรือหนักจนเกินไป สุภาพสตรีเอวบาง ร่างน้อย แขนเล็ก คงถูกใจกันเลยล่ะ

ระบบเบรคที่ให้มาถือว่าเอาอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับการใช้งานแบบคนทั่วๆ ไป แต่ถ้าเล่นหนักๆ อาจจะต้องเผื่อระยะเบรคเอาไว้บ้างนิดหน่อย น้ำหนัก และการทำงานของแป้นเบรคนั่น น้ำหนักค่อนข้างดี จังหวะการทำงานของเบรคตามสไตล์รถไฟฟ้า ตอบสนองไว แต่ถ้าคุ้มชินแล้ว ก็สามารถคอนโทรลน้ำหนักของการเบรกได้ไม่ยากนัก

ด้านระบบความปลอดภัยจัดมาให้เต็มพิกัดไม่ว่าจะเป็นระบบ ADAS Level 2, ถุงลมนิรภัย 8 ใบ และโครงสร้างนิรภัยเป็นต้น รวมไปถึงจุดติดตั้ง Car Seat แบบ Iso Fix ที่เบาะผู้โดยสารตอนหลังทั้ง 2 ฝั่ง


ภาพรวมสำหรับ Jaecoo 7 SHS นับว่าเป็นรถน่าใช้อีก 1 คัน ด้วยคุณสมบัติที่ไปได้ไกลกว่ารถพลังงานสันดาป และพลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นการต่อยอดจากรถไฮบริดแบบเดิมๆ แถมปรับเรื่องของระบบขับเคลื่อนแทนที่จะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก กลับมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทน ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้ ณ เวลานี้ รถในรูปแบบของ Phev หรือ ปลั๊กอินไฮบริด เริ่มมีออกมาจำหน่ายกันหลายรุ่นในท้องตลาดให้ผู้ใช้รถได้เลือกมากยิ่งขึ้น ซึ่งราคาค่าตัวนั่นคงอยู่ในเรท 9 แสนนิดๆ ในรุ่นเริ่มต้น และ แตะ 1 ล้านหน่อยๆ ในตัวท็อป ทีนี้มาลองดูกันว่าในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ทาง Jaecoo จะกวาดยอดจองไปได้เท่าไหร่  

#####

 

จอเรือนไมล์แบบ LED ลอยตัวขนาด 10.25 นิ้ว แสดงฟังก์ชั่นการทำงานได้ครบถ้วนแม้จะกระทั่งระบบ TPMS มีจอ HUD หรือ Heal Up Display

 

หน้าจออินโฟรเทนเม้นท์ตรงกลางแนวตั้งขนาด 14.8 นิ้ว ที่อัดแน่นด้วยฟังก์ชั่นการสั่งงานของตัวรถแบบครบครัน

  


Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้