1783 จำนวนผู้เข้าชม |
มิตซูบิชิทำเซอร์ไพร์ เปิดตัวรถใหม่ ที่ไม่มีใครทันได้คิดว่ามันคือเอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ โดยก่อนเปิดตัวและเปิดราคาอย่างเป็นทางการนั้น ได้มีการเชิญสื่อมวลชนไปร่วมกิจกรรมเทสต์ไดร์ ที่สนามหนองค้อ จังหวัดชลบุรี ซึ่งบรรดาสื่อมวลมวลก็ไม่ทราบว่าเป็นรถรุ่นใดของค่ายมิตซูบิชิ เพราะไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาเลยว่าจะมีรถรุ่นใหม่ออกมาหลังจากเจ้ากระบะไททัน บางคนคิดว่าคงเป็นไททันแอทลีท ทว่าเมื่อไปถึงสนามทดสอบ เห็นรถที่จะเตรียมไว้เพื่อการเทสต์ไดร์ครั้งนี้ จอดอยู่โดยแลปสติกเกอร์ฟ้า-เทาพรางตัวไว้ บรรดาสื่อมวลชนก็ถึงบางอ้อ ว่ามันคือเจ้าเอ็กแพนเดอร์ แล้วมันจะมีอะไรปรับเปลี่ยนบ้าง น่าสนใจมากน้อยเพียงไร มาติดตามรายละเอียดกันครับ
เอ็กซ์แพนเดอร์เวอร์ชั่นใหม่นี้ก็จะมีรุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์เอชอีวี และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี เมื่อได้ฟังการบรรยายจากทีมมิตซูบิชิ ก่อนได้ทดลองขับกันนั้น เอ็กซ์แพนเดอร์ เวอร์ชั่นใหม่ ภายนอกไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากมายสักเท่าไร ทว่าใส้ในนั้นเปลี่ยนไปจากตัวเดิมที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในโดยสิ้นเชิง นั่นก็คือเปลี่ยนเป็นระบบไฮบริด ที่ทางมิตซูบิชิบอกว่ามันคือระบบฟลูไฮบริด โดยทั้งสองรุ่นนี้ ผลิตขึ้นในไทย โดยบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ณ โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริดใน เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และเอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ด้วยการต่อยอดจากระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ที่ทำงานสอดผสานอย่างลงตัวกับเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อมอบความปลอดภัยและความมั่นใจในการขับขี่ ช่วยเสริมสมรรถนะการเกาะถนน และช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างง่ายดายและคล่องตัวบนทุกสภาพถนน เราสามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่เป็น EV Priority ได้ตามต้องการ
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ชูจุดเด่น 3 สุดยอดเทคโนโลยี Mitsubishi e:MOTION
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด (HEV System) ขับขี่ที่ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs)
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ ได้ตามต้องการ ลุยได้ในทุกสภาพถนน
ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส การขับขี่ที่ควบคุมรถได้อย่างคล่องตัวโดยเฉพาะขณะเข้าโค้ง
สมรรถนะในการขับขี่
ในกิจกรรมทดสอบครั้งนี้ ได้ใช้สนามหนองค้อเซอร์กิต อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสนามแข่งมอเตอร์ไซด์ ที่มีทั้งทางเรียบและทางฝุ่น โดยทางผู้จัดได้แบ่งการทดสอบออกเป็น 2 โซนทางเรียบ กับโซนออฟโรด
ทีมงานเราได้ทำการทดสอบแบบทางเรียบก่อน กับเจ้าเอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี รอบแรกให้ขับใน Normal Mode จากตัวเดิมที่เป็นเครื่องสันดาปภายใน ก็เป็นที่กล่าวขานกันอยู่แล้วว่าเป็นรถที่ขับดีอยู่แล้ว พอมาได้ขับตัวใหม่นี้ มันรู้สึกได้เลยว่าสมรรถนะการขับขี่ดียิ่งขึ้นไปอีก ช่วงล่างนิ่ง พวงมาลัยคุมง่ายขึ้น เข้าไปตามโค้งได้แบบเนียนๆ สาดโค้งแรงๆ ก็ไม่มีอาการเหวี่ยงเลย
มาถึงสถานี ลองอัตราเร่ง 0-100 รู้สึกได้เลยว่าอัตราเร่งที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งรอบต้น และรอบกลาง มีให้เรียกใช้ได้ลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ได้มาจากจากเทคโนโลยีระบบเกียร์ไฟฟ้า (Shift-by-Wire) จึงทำให้ความรู้สึกอัตราเร่งนั้นเหมือนกับขับรถไฟฟ้าเลย จากนั้นเราขับต่อเนื่องไปเข้าสู้โค้งที่พื้นถนนเปียก ก็ทำได้ดี มีสไลด์นิด ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างสบายๆ
สำหรับรอบที่ 2 เปลี่ยนมาใช้ Tarmac Mode หรือโหมดที่ยี้ห้อเรียกว่าสปอตนั่นแหละ ซึ่งเหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว บนถนนที่คดเคี้ยว สมรรถนะในการขับขี่ Tarmac Mode พวงมาลัยตรึงมือขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีความแม่นยำ ควบคุมง่าย ขับสนุกเลยที่เดียว
มากันที่โซนของออฟโรด พื้นสนามเป็นทางฝุ่นที่มีหินลอยปะปนอยู่ ประเดิมด้วยการขับสลาลม และต่อด้วยวิ่งเป็นวงกลม ใน Normal Mode การควบคุมพวงมาลัยค่อนข้างยาก รถมีอาการท้ายปัด หน้าดื้อ ทำให้หลุดออกไปบ้าง
รอบที่สองเปลี่ยนมาใช้ Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ เราใช้ความเร็วเท่าเดิม รถมีอาการน้อยมาก เราสามารถควบคุมพวงมาลัยได้ง่ายขึ้น ไปในทิศทางที่เราต้องการ จากนั้นก็ได้ไปลองลุยร่องโคลน โดยเปลี่ยนมาใช้ Mud Mode เจ้าเอ็กซ์แพนเดอร์ก็ผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เอชอีวี ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วยรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) รูปแบบการขับขี่แบบไฮบริด และระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรกหรือ Regenerative Braking ซึ่งทำให้ประหยัดน้ำมัน
เมื่อเริ่มออกตัว และขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว เป็นรูปแบบการขับขี่แบบ EV (พลังงานไฟฟ้า 100%) (แผนภาพที่ 1) ทำให้สามารถขับขี่ด้วยด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ จากนั้น ในขณะที่ขับรถขึ้นเนินที่ลาดชันหรือในขณะที่เร่งความเร็ว ระบบจะทำการปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด โดยใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ได้รับการปั่นไฟฟ้าให้เกิดพลังงานจากเครื่องยนต์ (แผนภาพที่ 2) และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมกำลังขับเคลื่อน (แผนภาพที่ 3) เนื่องจากเครื่องยนต์เริ่มทำงานอย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก ขณะที่เมื่อชะลอความเร็ว ตัวรถจะเข้าสู่รูปแบบ Regenerative Braking ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรก จึงสามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าเพื่อเก็บสำรองพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ (แผนภาพที่ 4)
โหมดการขับขี่แบบ EV (แผนภาพที่ 1)
โหมดการขับขี่แบบไฮบริด (แผนภาพที่ 2)
โหมดการขับขี่แบบไฮบริด(แผนภาพที่ 3)
โหมด Regenerative Braking
(ระบบชาร์จไฟกลับขณะเบรก) (แผนภาพที่ 4)
ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์ พร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร MIVEC โดยมีแบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาสำหรับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงและแบตเตอรี่ตอบสนองต่อแรงบิด 255 นิวตันเมตรได้อย่างรวดเร็วเมื่อออกตัว และให้อัตราเร่งที่ทันใจเมื่อกดคันเร่ง ผู้ขับขี่จึงสามารถเปลี่ยนเลนบนทางด่วนได้อย่างราบรื่นไร้กังวล และกลับรถบนถนนในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นได้อย่างสะดวกง่ายดาย
เครื่องยนต์เบนซินที่ได้รับการพัฒนาใหม่ขนาด 1.6 ลิตร DOHC MIVEC 16 วาล์ว4 มีอัตราส่วนการขยายตัวสูง (วงจร Atkinson) พร้อมกับมีประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สูงกว่าด้วยการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมคอมเพรสเซอร์แอร์ไฟฟ้าเพื่อลดการสูญเสียทางกล ช่วยเสริมให้อัตราประหยัดน้ำมันของเครื่องยนต์ดีขึ้น กว่าเดิมราวร้อยละ 34 สำหรับการขับขี่ในเมือง และให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นกว่าเดิมราวร้อยละ 15 สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง เมื่อดำเนินการทดสอบตามมาตรฐานการวัดระยะทางรถยนต์ไฟฟ้าแบบ NEDC
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode)
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน ไปได้ทุกที่ตามต้องการ
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ประกอบด้วย โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมดและอีก 5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกันตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ เพื่อสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ
2 โหมด ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV)
ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้โหมดการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) 2 โหมด ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ซึ่งประกอบด้วย EV Priority Mode ที่ขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ โดยปราศจากการทำงานของเครื่องยนต์ โหมดนี้ทำงานอย่างเงียบสงบ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังช่วยให้ผู้ขับขี่หมดกังวลเรื่องเสียงรบกวนเมื่อขับขี่ในหมู่บ้านยามเช้าตรู่ หากพลังงานแบตเตอรี่เหลือน้อย ผู้ขับขี่สามารถปรับเข้าสู่ Charge Mode เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้ทุกเวลา ทั้งในขณะที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่หรือขณะหยุดนิ่ง เพื่อให้สามารถกลับมาสนุกกับการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าได้อีกครั้ง
5 โหมดสำหรับพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างกัน
โหมดการขับขี่อีก 5 รูปแบบ ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดในการขับขี่และการควบคุมตัวรถที่ตอบสนองได้อย่างแม่นยำบนพื้นผิวถนนที่มีสภาวะแตกต่างหลากหลายตามภูมิประเทศและภูมิอากาศ โดยพัฒนาระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าให้ดียิ่งกว่ารุ่นเดิม ผสานกับระบบควบคุมการขับขี่ต่างๆ ทั้งระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นการควบคุมแรงเบรกระหว่างล้อหน้าด้านซ้ายและด้านขวาให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (Traction Control System: TCL) ที่ช่วยตรวจจับอาการลื่นไถลของล้อหน้าและควบคุมพละกำลังการขับเคลื่อน ระบบควบคุมอัตราเร่ง (Acceleration Control) ที่ช่วยปรับกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ทำงานสอดประสานอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีการกดคันเร่ง และระบบควบคุมน้ำหนักพวงมาลัย (Steering Control) ที่ช่วยปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้ตอบสนองได้ดั่งใจตามความเร็วและสภาพพื้นผิวถนน โดยมีรายละเอียดดังนี้
Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล ให้การควบคุมที่มั่นใจและเกาะถนนเป็นเลิศแม้ขณะฝนตกหนัก
Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ
Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ แม้บนถนนที่คดเคี้ยว
Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน
โหมดการขับขี่ทุกรูปแบบสร้างขึ้นเพื่อมอบความปลอดภัยและสะดวกสบายบนทุกสภาพถนนและสภาพอากาศ ซึ่งผู้ขับขี่ต้องพบเจอเป็นประจำ
ห้องโดยสาร
ภายในห้องโดยสาร มีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว เพื่อแสดงรูปแบบการขับขี่ที่จะเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์การขับขี่และอัตราเร่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงาน อัตราการประหยัดพลังงานเมื่อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) ระดับพลังงานคงเหลือในแบตเตอรี่ และข้อมูลอื่น ๆ ทั้งนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ จะมีการแสดงภาพกราฟฟิกกลางหน้าจอเพื่อแจ้งโหมดการขับขี่ที่กำลังทำงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกการแสดงผลหน้าจอได้ตามความต้องการ ระหว่าง แบบ Enhanced Mode ที่ล้ำสมัย หรือแบบ Classic Mode ที่ถอดแบบมาจากมาตรวัดระบบอนาล็อก
ดีไซน์หัวเกียร์ใหม่แบบ Electric Shift ที่มาพร้อมเทคโนโลยีระบบเกียร์ไฟฟ้า (Shift-by-Wire) เพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานได้ง่าย
ชุดแบตเตอรี่ขับเคลื่อน ติดตั้งไว้ใต้พื้นบริเวณเบาะนั่งคู่หน้า จึงทำให้พื้นที่ห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว ซึ่งกว้างขวางที่สุดในบรรดารถยนต์ระดับเดียวกัน พร้อมรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง ด้วยขนาดตัวถังที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางในเมือง อีกทั้งห้องเครื่องยนต์และบริเวณรอบชุดแบตเตอรี่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยชุดแบตเตอรี่ยังได้รับการปกป้องด้วยคานรับด้านหน้าและคานขวางด้านหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานของตัวถัง พร้อมด้วยการพัฒนาช่วงล่างและระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งหมดเป็นพิเศษ มาพร้อมดิสก์เบรกครบทั้ง 4 ล้อ
ภายนอกตัวรถ
โลโก้ “HEV” ที่กระจังหน้าและฝาประตูท้าย พร้อมด้วยโลโก้ “HYBRID EV” ที่ประตูหน้า และการตกแต่งด้วยเส้นสายสีน้ำเงินที่กันชนหน้า กาบข้างประตู กันชนหลัง และล้ออัลลอยแบบทูโทนทั้ง 4 ล้อ สีตัวถังมีให้เลือกหลากหลาย มาพร้อมด้วยสีใหม่ล่าสุดที่เพิ่มจากรุ่นก่อน คือ สีขาว White Diamond และสีเงิน Blade Silver Metallic สีเทา Graphite Gray Metallic และสีดำ Jet Black Mica รวมถึงสีเขียว Green Bronze Metallic ที่เป็นสีพิเศษเฉพาะของรุ่น เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี
โดยในโอกาสเฉลิมฉลองการเปิดตัวใหม่นี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส พร้อมมอบราคาพิเศษช่วงแนะนำ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2567 เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกค้ามิตซูบิชิ ที่รักทุกท่าน โดยมิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 912,000 บาท ขณะที่ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 946,000 บาท ซึ่งมีราคาจำหน่ายเท่ากับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน
หลังจากช่วงเวลาพิเศษ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี ใหม่! จะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 933,000 บาท และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี ใหม่! มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 961,000 บาท ซึ่งมีราคาที่ไม่ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปในปัจจุบัน