1993 จำนวนผู้เข้าชม |
Haval H6 เปิดตัวทำการตลาดในเมืองไทยครั้งแรกเมื่อปี 2021 พร้อมๆ กับการเปิดตัวค่าย เกรท์ วอลล์ มอเตอร์ อย่างเป็นทางการในเมืองไทย เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ที่นิยมชมชอบรถแนวครอบครัวที่คันใหญ่ นั่งสบาย และยังตอบโจทย์ในเรื่องของความประหยัดกับพละกำลัง 1500 ซีซี. พ่วงระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ และยังมีมอเตอร์ไฟฟ้า มาช่วยในเรื่องของอัตราเร่ง และยังให้ความประหยัดที่ควบคู่ไปด้วยกัน
จนเมื่อช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา เกรท์ วอลล์ มอเตอร์ ได้จับ Haval H6 HEV มาเขียนคิ้วทางปากใหม่อีกครั้งเพื่อเรียกความสดใส มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของหน้าตาให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น อาทิ กระจังหน้าใหม่ Star Matrix Front Grille ช่วยให้หน้ารถดูมีมิติมากยิ่งขึ้น สอดรับกับชุดไฟหน้าแบบ Intelligent LED Headlamp ที่มาพร้อมกับระบบส่องสว่างแบบ Ultra-High Flow พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยการขับขี่ยามค่ำคืนได้ดียิ่งขึ้น
เส้นสายตัวรถด้ายข้างยังคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะของเดิมก็ดูลงตัวอยู่แล้ว หลังคาเป็นแบบพาโนรามิคขนาดใหญ่ 1.2 ตารางเมตร(เกือบเต็มพื้นที่ของหลังคา) ช่วงเพิ่มมุมมองแบบ 360 องศาจากภายในห้องโดยสาร ทางด้านท้ายมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของดีไซน์ชุดไฟท้ายใหม่แบบ LED Taillight Strip แนวนอนยาวเชื่อมท้ายรถทั้ง 2 ฝั่ง มาพร้อมกับชุดไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED เสาอากาศแบบ Shark Fin และสปอยเลอร์ท้ายที่ช่วยเพิ่มแอโร่ไดนามิค และที่พิเศษสุดก็คือ การเพิ่มอ็อฟชั่น ระบบเปิด-ปิด ฝาท้ายแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบแฮนด์ฟรี เพียงแค่ใช้เท้าเตะไฟที่ใต้ท้องรถ
การออกแบบภายในห้องโดยสารยังเลือกใช้แนวทาง Minimalist เน้นความกว้างขวาง, สะดวกสบาย คอนโซลหน้ายังคงเลือกใช้โทนสีแบบทูโทนด้วยวัสดุสี Rose Gold, Piano Black และ Chrome ให้ความรู้สึกทันสมัย พวงมาลัยแบบ 3 ก้านพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นปรับได้ 4 ทิศทาง จอมาตรวัดขนาด 10 นิ้ว ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน และยังมีจอ Head Up Display แสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า
จออินโฟเทนเมนท์ตรงกลางขนาด 12 นิ้ว เต็มเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ อาทิ กล้อง 360 องศา, เชื่อมต่อ Apple Car Play-Android Auto แบบไร้สาย MP3, JOOX พร้อมเนวิเกเตอร์ที่สามารถบอกตำแหน่ง Point of Interest ทั้งร้ายอาหาร ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ รวมไปการปรับโหมดการขับขี่ต่างๆ ของตัวรถ ปรับโหมดการขับขี่ Normal, Eco, Sport และ EV Mode
ปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ 3 ระดับ ปรับการหน่วงของระบบ Energy Recuperation ของระบบไฮบริด 3 ระดับ เปิด-ปิด การทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆ และปรับความสว่างของหน้าปัด รวมไปถึงปุ่มระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ Integration Auto Parking-IAP ที่สามารถจอดเทียบทางเท้า, จอดเข้าซอยแบบถอยตรงๆ, จอดเข้าซองแบบถอยเฉียงๆ และระบบถอยหลังเองในกรณีที่ผู้ขับขี่ ขับรถเข้าไปในซอยแคบๆ หรือซอยตันที่ไม่สามารถขยับกลับรถได้ โดยระบบนี้จะจดจำระยะทาง 50 เมตรสุดท้ายที่เราขับเข้ามา และถอยหลังกลับตามเส้นทางเดิม หมุนพวงมาลัยเองให้โดยอัตโนมัติ ให้ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย
เบาะผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง และผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ตัวเบาะนั่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่นั่งสบาย(แต่ตัวเบาะรองนั่งนิ่มไปสักนิด) ทัศนวิสัยในการขับขี่ถือว่าค่อนข้างดี แม้ช่วงแรกๆ อาจต้องปรับตัวบ้าง เพราะคอนโซลหน้าค่อนข้างใหญ่ ทำให้การกะระยะมุมหน้ารถต้องใช้เวลาคุ้นเคยสักเล็กน้อย ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลังสามารถพับแยก 60:40 เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากขึ้น เนื้อที่วางขามีให้ค่อนข้างมากนั่งสบายไม่อึดอัดตลอดการเดินทาง
ด้านพละกำลังของ Haval H6 HEV ยังคงเหมือนเดิม โดยเลือกใช้เครื่องยนต์เบ็นซิน แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จ ให้แรงม้าสูงถึง 150 แรงม้า ที่ 5,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 230 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีย่านแรงบิดให้ใช้งานค่อนข้างกว้างในรูปแบบของ Flat Torque ตัวเครื่องยนต์รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดได้ถึง E20
เครื่องยนต์บล็อกนี้ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous กำลัง 130 กิโลวัตต์(177 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ตัวมอเตอร์นับพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบ Lithium Ternary ขนาด 1.69 kWh เมื่อจังหวะที่ 2 ระบบทำงานควบคู่กันจะให้พละกำลังสูงถึง 243 แรงม้า และแรงบิดระดับ 530 นิวตัน-เมตร ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ DHT ที่ให้จังหวะการทำงานที่สมูธ ไหลลื่น ในทุกช่วงอัตราเร่ง
ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบ แร็คแอนด์พิเนี่ยนพร้อมไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ อิสระ มัลติลิงค์ ทางด้านระบบเบรคเป็นดิสค์เบรคทั้ง 4 ล้อ ล้อขอบ 19 นิ้ว รัดไว้ด้วยยางไซส์ 225/55 R19
สมรรถนะที่เท่าที่ได้ลองสัมผัส H6 HEV นั่น เรื่องของทัศนวิสัยยังคงให้ความรู้สึกที่โปร่งโล่งสบายตา น้ำหนักของพวงมาลัยแม้จะปรับหนืดสุดแล้วก็ยังรู้สึกว่าเบาไปสักนิด ตำแหน่งท่านั่งของผู้ขับถือว่าทำได้ดีพอตัว การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารขณะวิ่งด้วยความเร็วระดับ 100-120 กม./ชม. ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ แม้จะมีเสียงของยางเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารบ้าง
อัตราเร่งของเครื่อง 1.5 ลิตรเทอร์โบ พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า ในช่วงเร่งออกตัว หรือเร่งแซง ทำได้อย่างทันอก ทันใจ ด้วยแรงบิดระดับ 530 นิวตัน-ม. แม้จะมีเสียงเครื่องยนต์เล็ดลอดเข้ามาให้ได้ยินบ้างในขณะแตะคันเร่งเพื่อรีดเค้นพละกำลังในขณะเร่งแซง แต่ก็อยู่ในระดับที่รับได้ ด้านระบบส่งกำลัง DHT ทำงานกระฉับกระเฉงดีก็ไม่มีการกระตุกหรือกระชากให้รำคาญใจแต่อย่างใด
ส่วนฟิลลิ่งของระบบกันสะเทือนโดยเฉพาะด้านหน้ายังให้ความรู้สึกย้วยๆ โยน อยู่บ้าง (ตามสไตล์รถจีน) วิ่งด้วยความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ขณะเดินทางถือว่านิ่งพอตัว ขับแล้วไม่เครียด(ยกเว้นลอนถนน หรือคอสะพาน ก็ยกๆ คันเร่งชะลอความเร็วบ้าง) การเข้าโค้งด้วยความเร็วถือว่าให้การทรงตัวที่ดี(แต่อย่าเข้าโค้งแรงเกินไป เพราะอาการหน้ารถอันเดอร์สเตรีย์จะโผล่มาในทันที ส่วนฟิลลิ่งการทำงานของระบบเบรคถือว่ายังคงใกล้เคียงของเดิม ต้องทำความคุ้นเคยกับน้ำหนักของแป้นเบรคสักเล็กน้อย ส่วนเรื่องของการรีเจนไฟในขณะยกคันเร่งนั่น แทบจะไม่รู้สึกว่ารถมีอาการหน่วงเท่าใดนัก ซึ่งจะส่งผลให้การรีชาร์จไฟกลับเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่มีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยลง
ภาพรวมของ Haval H6 HEV ที่มีการปรุงโฉม เพิ่มอ็อฟชั่น จัดว่ายืนในกลุ่มหัวๆ ของรถ SUV ได้เลยทีเดียว แต่เรื่องของสมรรถนะ ถ้ามองว่าเป็นการใช้งานทั่วๆ ไป ไม่ได้เอาไปลุยหนักๆ เหมือนคู่แข่ง และด้วยราคา 1.349 ล้านบาท ก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามไปได้เลย